ใช้ปัญญาของเจ้าตัวเข้า พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้งมงาย ไม่ได้สอนให้เชื่อใคร แม้หลวงตาพูดท่านก็อย่าเชื่อ ท่านปฏิบัติให้มันเป็นจริงซะก่อน แล้วท่านจะเชื่อเอง
แต่ไม่ใช่เชื่อเดี๋ยวนี้ฟังแล้วเชื่อเดี๋ยวนี้ แล้วก็ อ้าว! จบแล้วเชื่อแล้ว แล้วออกไปทิ้งเลย ไม่ปฏิบัติเลย.. ไม่ใช่! เพียรเข้า เข้าใจแล้ว ๆ แล้วก็หมั่นเซาะหมั่นสังเกตเข้า เออ...ว่ามันเป็นสังขาร หลงสังขารอีกแล้ว หลงสังขาร
พิจารณาเข้า เรายึดถืออะไร ก็มีแค่สองสังขาร "สังขารกาย" กับ "สังขารจิต"
สังขารกายก็พิจารณาเข้าว่ามันเที่ยงมั้ยล่ะ หรือมันต้องแก่ต้องเจ็บต้องตาย ต้องเน่าเปื่อยผุพังสลายกลับคืนสู่ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ
สังขารกายมันประกอบไปด้วยธาตุ ธาตุดินก็กินซากพืชซากสัตว์ทุกวัน ธาตุน้ำก็กินทุกวัน น้ำเลือดน้ำลายน้ำปัสสาวะ ธาตุลมก็หายใจเอาลมของธรรมชาติ ธาตุไฟก็เอาความร้อนธรรมชาติไป ไหนล่ะเป็นของเรา เป็นของธรรมชาติหมดเลย
ก็พิจารณามันเข้าไปอย่างเงี้ย ทั้งวันทั้งคืน ๆ ใจมันก็ยอมรับตามความเป็นจริงมันก็ปล่อยวาง บึ้ม! ลงไป ระเบิดโลกธาตุ ระเบิด"อวิชชา" ความโง่ออกมาจากข้างในเลย
ก็เหลือแต่จิตแล้ว ง่ายแล้วตอนเนี้ย ไม่มีกายแล้ว
พอพิจารณากายขาดแล้ว วางบึ้ม!ไปแล้ว เดินไปไหนไม่มีตัวเลยเหมือนคนหายตัวได้ แขนขาหัวหายไปหมดเลย ตัวหายหมด หัวหายหมดไม่มีตัว เดินไปไหนไม่มีตัวเลย เหมือนคนหายตัวได้
ต้องเอามือ คอยจับหัว จับแขน จับขาตลอดเวลาว่า เอ๊ะ! มันหายไปไหน แต่จับก็รู้สึกว่ามันมีตัว แต่พอไม่จับมันเหมือนหายไปทั้งตัวเลย ต้องคอยเอามือมาจับไว้ มันไม่ชินกับมันเป็นสัปดาห์เลย เป็นสัปดาห์เป็นอาทิตย์ ๆ เลย เพราะว่าไม่ชิน
มันเคยมีความรู้สึกว่ามีตัว แต่พอมีความรู้สึกไม่มีตัว มันว่างเวิ้งว้างไปยังไงบอกไม่ถูก ต้องเอามือคอยจับแขนจับหัวจับขาไว้ มันไม่มีตัวเลย แล้วก็มันก็ไม่มีน้ำหนักด้วย เหมือนกับว่ามนุษย์อวกาศที่ไปอยู่นอกอวกาศ แล้วก็ลอยไปลอยมา เราดูจากในหนังนะ เราก็ไม่เคยออกไปนอกอวกาศหรอก
ดูจากในหนังเห็นว่าพวกที่ออกไปนอกอวกาศ มันก็ไม่มีน้ำหนักมันลอยไปลอยมาอย่างเงี้ย เราก็เอามาเปรียบเทียบเอาว่า เออ..มันเหมือนมนุษย์ที่มันออกไปนอกอวกาศแล้วมันไม่มีน้ำหนัก มันไร้สภาพน้ำหนัก มันหมดแรงดึงดูดของโลกมันก็เลยลอยไปลอยมา
แต่พอไปชั่งกิโล อ้าว.. มันมีน้ำหนักเต็ม แต่พอออกจากกิโลทำไมน้ำหนักมันไม่มีหว่า เอ๊ะ! ทำไมมันเป็นอย่างนี้ ออกจากกิโลมาน้ำหนักไม่มี แต่พอไม่จับตัว ตัวไม่มี มันเลยกลายเป็นเดินไปไหนมาไหนตลอดเวลาเนี่ยไม่ว่าจะเดินไปไหนไปทำงานไปอะไรเนี่ย ไม่มีตัวไม่มีน้ำหนักไม่มีหัวไม่มีแขนไม่มีขา ไม่มีตัวเลย น้ำหนักก็ไม่มี มันว่างเปล่าจริง ๆ มันว่างเปล่าจริง ๆ
อันนั้นคือมันว่างเปล่าจริง ๆ ไม่ใช่ไปมโนเอา สร้างเอา แต่มันระเบิดโลกธาตุไปหมดแล้ว ระเบิดความโง่ไปแล้ว กินข้าวอิ่มในเรื่องของความตายจนท้องแตกไปแล้ว มันระเบิดไปหมดแล้ว
มันสิ้นความยึดมั่นถือมั่น สิ้น "สักกายทิฏฐิ" ไปแล้ว สิ้นความหลงงมงายไปแล้ว สิ้น "สีลัพพตปรามาส"ไปแล้ว สิ้น "วิจิกิจฉา" สิ้นความลังเลสงสัยแล้ว มันลังเลสงสัยอะไร มันว่างไปหมดเลย ไม่มีตัวตน ไม่มีน้ำหนักเลย ไม่ใช่อยู่ๆ ก็มโนสร้างเอา นี่มันพิจารณาความตาย ตาย ๆๆ สังขารมัน ไม่เที่ยง ๆ
เพราะว่าเรายึดก็ยึดแค่สองอย่าง คือ สังขารกาย กับสังขารจิต ก็พิจารณากายซะก่อนให้มันเน่าเปื่อยผุพัง เน่าเปื่อยผุพัง เน่าเปื่อยผุพัง ๆ อืด ... เน่า ... สลาย เน่า...เผละ! ระเบิดออกไปเลย จนกระทั่งมันเน่า หมดสิ้นความยึดมั่นถือมั่นในสักกายทิฏฐิ สิ้นสีลัพพตปรามาส คือ ความหลงงมงาย แล้วก็สิ้นวิจิกิจฉาไม่ลังเลสงสัยอีกแล้ว ไม่มีตัวไม่มีหัวเลย ไม่มีกายไม่มีใจ เหมือนกับไม่มีเลยตอนเนี้ย ว่างเปล่า เวลาเดินไปไหนมาไหน เดินไปทำงานเดินไปไหนมาไหน มันเหมือนกับว่ามันไม่เดินไปแล้วบนพื้นดินน่ะ มันเดินไปบนยอดหญ้า
รู้สึกว่าเมื่อมันขึ้นไปเดินบนยอดหญ้า หญ้าไม่ยับเลย แล้วก็เหมือนกับเวลามันเดินไป มันขึ้นไปบนยอดไม้ มันเหินขึ้นไปบนยอดไม้ แล้วก็มันก็เหินจากยอดนี้ไปหลายกิโลมากเลย ไปยอดโน้น เหมือนนกบินได้ เฮ้ย! มันทำไมมันเป็นอย่างนี้หว่า
มันเป็นอย่างนี้ตลอดเวลาเลย มันเหมือนเหินไป เหมือนไม่เดินไป แต่จริง ๆ มันก็เดินไป แต่มันรู้สึกมันเหินไปได้ มันลอยไปได้ แปลก ๆ
แต่บางท่านก็ลอยไปจริง ๆ นะ หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล เนี่ยลอยไปหัวไปกระแทกพื้น ปึ้ง! ตกใจลืมตาขึ้น หล่นตุ๊บมาเลย เฮ้ย! นี่มันลอยได้จริง ๆ นี่หว่าเนี่ย ท่านเลยแปลกใจว่า เฮ้ย! มันลอยไปได้จริง ๆ เหรอเนี่ย
เลยท่านก็เอาใหม่ ๆ ขึ้นไปแล้วก็มันลอยไป ไปหัวกระแทกพื้นแล้วเอาอะไรไปเหน็บที่ชายคาไว้ ไปเหน็บที่บนหลังคาไว้ แล้วก็ พอมันถึงพื้นแล้ว เฮ้ย! ไอ้ที่เหน็บไว้ที่บนหลังคามันยังอยู่นี่หว่า เอ๊ะ! มันลอยได้จริง ๆ เหรอเนี่ย
มันลอยได้จริง ๆ นะ แล้วก็มันว่างไปหมดเลย มันว่างเปล่าไปหมดเลย มันไม่มีน้ำหนัก มันเบามากเลย แต่ไม่ใช่ว่าไปลอยใน "ฌาน" นะ อันนี้คือมันระเบิดโลกธาตุไปหมดแล้ว สิ้น "สักกายทิฏฐิ" สิ้นตัวตนไปหมดแล้ว
ตอนนี้พอมันเหลือแต่ความว่าง ง่ายแล้วตอนนี้
เพราะอะไร? มันเห็นจิตเกิดดับ ตอนนี้จิตมันไม่มาเกิดดับในตัวแล้ว เพราะว่าอะไร? ก็เพราะมันไม่มีตัวแล้วไง
มันเห็นจิตเกิดดับในอากาศเลยตอนนี้ มันเห็นจิตเกิดดับ ๆ ๆ ในอากาศเหมือนแสงหิ่งห้อย เหมือนฟ้าแลบฟ้าร้องฟ้าผ่า มันเห็นจิตเกิดดับเกิดดับ
ไม่มีคนไปเห็นหรอก ไม่มีคนไปดู ไปรู้ไปเห็นมันหรอก แต่มันเห็นเองว่า จิตมัน เกิดเองดับเอง ๆ เหมือนฟ้าแลบฟ้าร้องฟ้าผ่าเหมือนแสงหิ่งห้อย ไม่มีใครต้องไปคอยมองมันหรอก มันเห็นเอง มันรู้เองว่าจิตมัน เกิดเองดับเอง ๆ ๆ ๆ ไม่มีใครไปยึดถือมันเลย
โอ้ย.. จิตก็ไม่เที่ยง จิตก็ไม่เที่ยง ๆ แค่นั้นแหละ โลกธาตุมันระเบิดอีกครั้งหนึ่งเลยตอนนี้ สิ้นยึดถือจิตอีกหนหนึ่งโลกธาตุมันระเบิดไปหมดแล้วตอนเนี้ย ระเบิดไปหมดเลย อัศจรรย์อีกเยอะแยะมากมายเลยตอนนี้ "สิ้นยึดถือ" จิตนั่นแหละ
มันไม่ใช่มโนเอา มันเห็นจากใจ รู้จากใจของเจ้าของว่าทั้งกายและจิตไม่เหลืออะไรเลย พอสิ้นสังขารมาบังใจแค่นั้นแหละ เลยกลายเป็นใจที่ไม่สังขาร
นั่นแหละ คือ นิพพาน
เนี่ยทางเดิน ไม่ใช่อยู่ ๆ ก็มโนไปถึงตรงความว่างเลย โดยไม่ได้ปล่อยวางสังขาร มันจะเป็นไปได้ยังไง
สังขารมันบัง ขันธ์ห้าบังธรรมอยู่ "รู้ไม่ทันขันธ์บังธรรม"
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต เขียนไว้ใน "ขันธะวิมุติสะมังคีธรรมะ" รู้ไม่ทันขันธ์บังธรรม ขันธ์มันบังอยู่ ต้องทำลายขันธ์ซะให้หมดย่อยยับไปก่อน แล้ว "ธรรม" คือใจที่บริสุทธิ์ หรือจิตบริสุทธิ์ หรือ นิพพาน มันก็จะปรากฏขึ้นมาเอง
ไม่ใช่ใช้เดินทางลัดเอา อยู่ ๆ ก็ว่าง อยู่ ๆ ก็ว่าง
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
โอวาทธรรมจากไฟล์เสียง
191005B2-3 แจกแจงธรรมละเอียดทุกแง่ทุกมุม ตอน 2
5 ตุลาคม 2562
ฟังจากยูทูป :
https://youtu.be/ThRFRK2d3tg
ฟังจากระบบซาวด์คลาวด์ :
https://soundcloud.com/luangtanarongsak/191005b2-3-2
~~~~~~~~~~~~~~~