โยม 1 : น้อมกราบองค์หลวงตาเจ้าค่ะ
ศิษย์ขอความเมตตาจากองค์หลวงตา ขออนุญาตถามเกี่ยวกับความว่างเจ้าค่ะ คือ
1. ความว่างหรือห้องว่างที่เราสร้างขึ้นมาเป็นบ้านน้อยหอยสังข์ กับ ความว่างที่เป็นเสียงแห่งความเงียบ (the sound of silence) ต่างกันอย่างไร ?
2. ความว่างแบบอสัญญีพรหม แตกต่างกับความว่างในพระนิพพานอย่างไร ?
กราบขอบพระคุณยิ่ง น้อมกราบด้วยเกล้า
หลวงตา :
1. ความว่างหรือห้องว่างที่เราสร้างขึ้นมาเป็นบ้านน้อยหอยสังข์ คือ มโนความว่างเอาเอง แล้วหลงมีตัวตน มีเรา ตัวเรา ตัวตนของเรา หลบหนีหรือไม่ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง เข้าไปอยู่กับความรู้สึกว่าง โล่ง โปร่ง เบา สบาย ที่สร้างไว้ เรียกว่าพวกโลกสวย
ความว่างที่เป็นเสียงแห่งความเงียบ (the sound of silence) คือ ความว่างตามธรรมชาติ ย่อมสงบ เงียบ สงัด ไม่มีตัวตน เพราะไม่มีการปรุงแต่ง ไม่มีอะไรปรากฏ ไม่เกิดดับ ไม่เคลื่อนที่ ไม่มีการไป ไม่มีการมา
“จิตเดิมแท้ ใจแท้ ๆ จิตบริสุทธิ์ ใจบริสุทธิ์ หรือ ธาตุรู้บริสุทธิ์” เพราะสิ้น อวิชชา ตัณหา อุปาทาน จะเป็นเหมือนความว่างของธรรมชาติ ซึ่งจะเป็นธรรมชาติที่รู้ซื่อ ๆ หรือ สักแต่ว่ารู้ความสงบ เงียบ สงัด ซึ่งเป็นความว่างตามธรรมชาติ
และ ในขณะเดียวกันก็รู้ซื่อ ๆ หรือ สักแต่ว่ารู้สังขารปรุงแต่ง ที่เกิดดับในความว่าง เหมือนกับเสียงดัง ในท่ามกลางเสียงแห่งความเงียบ สงบ สงัด ที่เป็นความว่างตามธรรมชาติ
หรือ รู้เห็นจากใจ หรือ ธาตุรู้บริสุทธิ์ว่า มีความเคลื่อนไหว เกิดดับ ในท่ามกลางธรรมชาติที่ไม่เกิดดับ มันมีความเงียบ สงบ สงัด ทั้งภายในร่างกายจิตใจ และภายนอก ซึ่งเป็นความว่างตามธรรมชาติอันเดียวกัน
ความว่างตามธรรมชาติ เป็นความเงียบ สงบ สงัด ไม่ปรุงแต่ง ไม่เกิดดับ ไร้ตัวตน ว่างเปล่า แต่ “ไม่มีความรู้”
ความว่างของธาตุรู้บริสุทธิ์ จิตบริสุทธิ์ หรือ ใจบริสุทธิ์ มันเป็นความว่างเหมือนความว่างของธรรมชาติ แต่มันเป็นธาตุ หรือ ธรรมชาติที่มีความรู้ในตัวเอง
***** ทั้งสังขาร (ปรุงแต่ง), ความว่างตามธรรมชาติ และ ธาตุรู้บริสุทธิ์ มันเป็นธรรมชาติของเขาอย่างนั้นเอง
มันมีอยู่แล้วในร่างกาย จิตใจของพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ ปุถุชน สรรพสัตว์ สิ่งมีชีวิตทั้งหมด และร่างกาย จิตใจของเรา แต่มันไม่ได้เป็นตัวตนของเรา เป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นของเรา
เมื่อยังมีอวิชชา ตัณหา อุปาทาน คือ ความหลงยึดมั่นถือมั่นสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น ว่าเป็นตัวเป็นตน เป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นของเรา ก็ยังเป็นความรู้หลงยึดถือ ไม่เป็นความรู้ที่บริสุทธิ์
ซึ่งแตกต่างกับความรู้ของพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ ซึ่งสิ้นหลงยึดถือ หรือ สิ้นอวิชชา ตัณหา อุปาทาน แล้ว จึงเป็นธาตุรู้บริสุทธิ์ จิตบริสุทธิ์ หรือ ใจบริสุทธิ์ เรียกว่า นิพพานธาตุ ซึ่งความว่างเหมือนกับความว่างของธรรมชาติ แต่มีความรู้ในตัวเอง
2. ความว่างแบบอสัญญีพรหม คือ ฝึกจิตว่างในทางที่ผิดจากพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า คือ ฝึกดับจิต จนจิตดับความคิด ความรู้สึก ความรับรู้ มีความรู้สึกนิ่งเงียบ คล้ายกับก้อนหิน ก้อนดิน คล้ายคนตาย ไม่รับรู้รับทราบอะไรทั้งหมด แต่ไม่ได้สิ้นอวิชชา ตัณหา อุปาทาน คือ ความหลงยึดมั่นถือมั่น
~~~~~~~~~~~~~
โยม 2 : กราบขอบพระคุณเจ้าค่ะ หลวงตา
กว่าจะเป็นรู้ที่บริสุทธิ์สักแต่ว่ารู้ได้จริง ๆ
มันต้องผ่านความรู้สึกที่ยอมรับอย่างแท้จริงจากใจก่อน ว่าตัวเราต้องตาย และแตกดับ
ยอมอย่างถึงใจ ที่จะรับรู้ว่าในที่สุดจะไม่มีตัวเราอีกแล้ว เมื่อสังขารนี้แตกดับลง
ไม่เหลือแม้ส่วนเสี้ยว และไม่อาจเอาตัวเราไปหาใคร หรือไปแบกรับสิ่งใดได้อีกตลอดกาล
มันต้องยอมให้ความรู้สึกที่จำนนต่อความจริง ด้วยเห็นความจริงแจ่มชัดเกิดขึ้น
มันต้องผ่านตรงนั้นไปก่อนจริง ๆ เจ้าค่ะ
หลวงตา : สาธุ
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
โอวาทธรรมจากปุจฉาวิสัชนา
7 กันยายน 2562