โยม : กราบนมัสการค่ะหลวงตา เมื่อใดที่รู้สึกมีตัวเราไปกระทำอะไร เช่น หลีกหนีใจ แอบพอใจ แอบรักษาใจ ไม่ให้ทุกข์ นั่นมันธรรดาใช่ไหมคะ
แต่ถ้าหากเห็นมันบ่อย ๆ เข้า ความไม่ปรุงแต่งก็ปรากฏเอง เมื่อไม่มีใครยึดความไม่ปรุงแต่งนั้น และไม่มีผู้รู้ความไม่ปรุงแต่งนั้น ก็สิ้นความปรุงแต่ง สิ้นทุกข์
กราบ กราบ กราบ
หลวงตา : ให้รู้เห็นจากใจจริง ๆ ว่า ความคิด ความรู้สึกว่าเป็นเรา ตัวเรา ของเรา ที่แสดงพฤติกรรมทางจิตต่าง ๆ ทุกปัจจุบันขณะเป็น “สังขาร” ปรุงแต่ง ซึ่งเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
พิจารณาให้ดี ว่า...
มันเที่ยง หรือ ไม่เที่ยง?
มีสาระแก่นสาร หรือไม่?
ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน มันทำให้เป็นทุกข์ หรือ สุข เล่า?
มันมีสภาพที่คงที่อยู่อย่างนั้นตลอดไป และสามารถจะยึดถือเอาไว้ได้ ใช่ไหม?
ไม่ต้องเชื่อใคร ให้รู้เห็นเองจากใจ จะได้ไม่หลงยึดถือ หรือ หลงไปตามอาการของสังขารเหล่านั้น
เมื่อสิ้นหลงสังขารทุกปัจจุบันขณะ จึงจะพบ “สิ่ง” ที่เรียกว่า “วิสังขาร” หรือ อสังขตธาตุ นิพพานธาตุ สุญญตาธาตุ อมตธาตุ ธรรมธาตุ... ฯลฯ
ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ใช่สังขาร คือ เป็นธรรมชาติที่ไม่มีความรู้สึก นึก คิด ปรุงแต่ง หรือ มีอารมณ์ต่างได้
เป็นสิ่งที่ไม่เกิด ไม่ดับ
ไม่มีตัวตน ไม่มีรูปลักษณ์ใดปรากฏ
ไม่มีการไป ไม่มีการมา ไม่มีการหยุดอยู่
ไม่อาจถูกรับรู้ได้ทางอายตนะภายใน
ไม่อาจถูกทำลายได้
ไม่ได้มีขึ้นเพราะมีการเกิด และ ไม่ได้ดับไปเพราะการตาย หรือ
ไม่ได้เกิดขึ้นในขณะจิตเป็นวิชชา และ ไม่ได้ดับไปในขณะจิตเป็นอวิชชา
คือ ไม่ว่าจะฉลาดหรือโง่ ธรรมชาติของสิ่งที่ไม่เกิด ไม่ดับ ก็ยังคงเป็นอยู่อย่างนั้น เพียงแต่ว่าในขณะที่จิตหลงเป็นอวิชชา จะไม่มีสติ ปัญญารู้เห็นเขาเอง
แต่ขณะจิตที่เป็นวิชชา คือ ไม่หลงยึดถือสังขาร หรือ ไม่หลงคิด หลงปรุงแต่ง ก็จะมีสติ ปัญญา รู้เห็นเขาจากใจ
“สังขาร” ทั้งหมด เป็นทุกข์
“สิ่ง” ที่ไม่เกิด ไม่ดับ เท่านั้น จึงพ้นจากทุกข์ (นิพพาน)
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
โอวาทธรรมจากปุจฉาวิสัชนา
24 เมษายน 2562