โยม : เล่มนี้เจ้าค่ะหลวงตา อธิบายอย่างละเอียด และมีการพูดถึงการภาวนา แบบที่เหมือนหลวงตา เข้าถึงวิสังขารในขณะจิตนั้น โดยอาจารย์เป็นผู้สลายสังขารปรุงแต่งให้เจ้าค่ะ
ตอนแรกลูกยังแปลกใจ ว่าแบบที่หลวงตาช่วยแสดงให้ศิษย์รับรู้ตรง ๆ นี่ มันมีวิธีบันทึกไว้ด้วยหรือ เดี๋ยวลูกจะเอาไปถวายให้ หลวงตาพิจารณาเจ้าค่ะ
ในความฝันตามความเคยชิน มีแต่จะรับรู้ในระยะที่ 3 คือสมมติ เป็นเรื่องราว และยึดถือว่าเป็นแบบนั้นจริง ๆ ไปแล้ว เป็นระยะที่พาไปสู่กายทิพย์ที่เป็นตัวตน และการเกิดใหม่
เมื่อปฏิบัติจนคลายความยึดถือ ความคุ้นชินแบบเดิม ๆ จึงเริ่มสัมผัสธรรมชาติของสังขาร ที่เริ่มก่อแสง สี เสียงได้ สักแต่ว่าสภาวะเจ้าค่ะ
หลวงตา : อ่านจบแล้ว ....
มันเป็นการพาจิตของศิษย์ไปพบกับธรรมชาติของจิตเดิมแท้ที่ปราศจากการปรุงแต่ง
เกิดจากอำนาจของผู้มีบุญวาสนาบารมีมาแต่ปางก่อน บวกกับความนอบน้อมศรัทธาต่อพุทธานุภาเวนะ ธัมมานุภาเวนะ สังฆานุภาเวนะ และพ่อแม่ครูอาจารย์ที่เขาเคารพนับถือ จิตของศิษย์จึงพบพุทธภาวะในจิตเดิมแท้ของตนเอง
ซึ่งเป็นธรรมชาติที่ไม่ปรุงแต่ง (วิสังขาร อสังขตธาตุ อสังขตธรรม ธรรมธาตุ อมตธาตุ สุญญตาธาตุ นิพพานธาตุ...)
เมื่อเขาพบธรรมชาติของพุทธภาวะในจิตเดิมแท้ ด้วยใจของเขาเองแล้ว มันเหนือคำพูดหรือคำบรรยายที่จะปรุงแต่งออกมาได้ว่ามันเป็นอย่างไร และเราก็ไม่อาจเอาความคิด ความปรุงแต่งเข้าไปถึงได้
ต้องอาศัยใจที่มีความศรัทธาเต็มเปี่ยมเท่านั้น
เมื่อเขาสัมผัสหรือรู้ถึงพุทธภาวะด้วยใจของเขาเองแล้ว เขาจะมีประสบการณ์ตรง โดยไม่ต้องผ่านการบรรยายหรือคำพูดใด ๆ ... มันช่างสงบ เงียบ สงัด ว่างเปล่ายิ่งนักทั้งภายในและภายนอก ว่างเปล่าโดยปราศจากขอบเขตทุกด้าน... ซึ่งธรรมชาติของความปรุงแต่งทั้งภายนอกและภายในเข้าไม่ถึง
หลวงตา : โยมหมอก็เคยพบและสัมผัสเขาด้วยใจที่ไม่ปรุงแต่งมาบ้างแล้ว เช่น เมื่อครั้งที่ได้รับเชิญไปพูดธรรมมะที่ประเทศบังคลาเทศ และพูดเรื่องสมาธิออกอากาศ ได้เกิดความวิตกกังวลว่า จะพูดธรรมะของพระพุทธเจ้าผิดไปจากคำสอน...
หลวงตาจึงให้น้อมจิตอธิษฐานถึงพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ พ่อแม่ครูอาจารย์ที่เคารพนับถือ บวกกับบุญบารมีที่เราได้กระทำมาแล้วทั้งหมดทุกภพทุกชาติ จนถึงในปัจจุบัน และตั้งใจไว้ว่าชีวิตที่เหลือจะไม่ประมาท จะเพียรทำประโยชน์ตนให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ในปัจจุบัน และทำประโยชน์ท่านจนกว่าธาตุขันธ์จะดับสิ้นไป...
ขอให้พระธรรมอันบริสุทธิ์ ที่ออกจากพระทัยหรือธรรมธาตุอันบริสุทธิ์ของพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอริยสงฆ์ทั้งหมด เข้าถึงใจโดยอัตโนมัติตลอดเวลา ให้ใจเป็นธรรมแท้ ที่สิ้นความหลงยึดมั่นถือมั่น ตั้งแต่บัดนี้ด้วยเทอญ
ทันใดนั้น ! โยมหมอก็พบว่า “จิตตสังขาร” ทุกปัจจุบันขณะเป็นธรรมชาติที่เกิดเอง ดับเอง ไม่มีใครไปทำเกิด และไม่มีใครไปทำดับ
และพบว่า “พุทธภาวะ” ในจิตเดิมแท้ มีความรู้เป็นอิสระของเขาเอง ไม่ต้องพึ่งพาตัวตนของขันธ์ห้า
โยม : เจ้าค่ะหลวงตา แสดงว่าการเข้าถึงความไม่ปรุงแต่งที่เป็นพุทธภาวะแบบเดิมได้ คือไม่ปฏิบัติภาวนาตามความเคยชินเดิม ซึ่งเป็นการรับรู้โดยยึดติดยึดถือ คือไม่ไหลไปตามสมมติ ก็คือปฏิเสธสิ่งนั้น นำไปสู่การบังคับ ให้มันเป็นแบบที่เราอยากให้เป็น แต่ต้องอ่านใจตัวเองให้ขาด ว่ามีความอยาก มีนิสัยเดิม ๆ ต่อสังขารอยู่ในขณะจิตนั้นหรือไม่
ถ้ามีอยู่ ก็รู้เท่าทัน แล้วปล่อยเป้าหมายนั้นไปเสีย มันจะคืนสู่การยอมรับความเป็นจริงอย่างที่มันเป็น
ถ้าไม่อาจปล่อยได้ ก็น้อมบารมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้ท่านชี้นำความจริงแก่เรา นั่นจะเป็นการ “ปล่อย” อัตโนมัติของจิตเจ้าค่ะ
** โดยสรุป คือ ต้องทิ้งทางเดิมที่เคยชินแบบเดิม ๆ ไปเสียเจ้าค่ะ **
ถ้ามันไม่มี “ทาง” มันจะไปไม่ได้ของมันเอง และเข้าสู่การรับรู้ความจริงแท้ ตามธรรมชาติของมัน
หลวงตา : https://youtu.be/4qMiARRTnoI
ให้น้อมใจฟังพระธรรมคำพูดของพระพุทธเจ้าที่ตรัสสอนองคุลีมาลในตอนท้าย ให้ดี ๆให้ถึงใจ
โยม : ดูวิดีโอแล้ว แฝงธรรมในแทบทุกซีนเลยเจ้าค่ะ ตั้งแต่ที่อหิสกะมองเป้าหมายคือแม่ น้าวศร เตรียมยิง มันไม่ต่างอะไรจากกิริยาในจิตเลย (แค่รู้ว่าองคุลีมาล ที่แท้แล้วเป็นใครน้ำตามันก็ไหลแล้ว)
แต่ด้วยแสงแห่งธรรมของพุทธะ เป็นสิ่งที่ทำให้เขา “หยุด” และโหยหาสิ่งนั้นแทน
เขาเดินตาม วิ่งหา ไขว่คว้าเต็มกำลัง เพื่อให้ไปถึง “พุทธะ” ให้ได้ ระหว่างทางสิ่งที่เขาต้องเผชิญ คือกรรมทั้งหมด นิสัยทั้งหมดที่เคยเป็นมา เคยทำมา มันจะผุดขึ้นมา เขาจะพบ “ตัวเอง” ในอดีตอีกครั้ง และเรียนรู้ที่จะปลดปล่อยมัน
และท้ายที่สุด เขาได้พบพระพุทธเจ้า ในจุดที่เขาวิ่งหา จนมันสุดกำลังและล้มลง พุทธะ จึงแสดงธรรมแก่เขา ว่าสิ่งที่เขายึดถือ มันไม่ได้เป็นตัวเขาจริง ๆ
เมื่อเขาเห็นความจริง ของ “ดวงจิตที่ยึดถือว่าบริสุทธิ์” ด้วยปัญญา จึงถึงซึ่งพุทธัง ธัมมัง สังฆัง สรณัง คัจฉามิ
ถึงใจแล้วเจ้าค่ะ ว่าที่แท้ “องคุลีมาล” คือใครกันเล่า เขาค้นหาอะไร เขาต้องเผชิญกับสิ่งใด และสุดท้าย เขาจะได้รับสิ่งใด และอยู่กับสิ่งใด ตายไปกับสิ่งใด ไม่อาจอธิบายได้จริง ๆ เจ้าค่ะ
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
โอวาทธรรมจากปุจฉาวิสัชนา
23 เมษายน 2562