เมื่อถึงใจ ไยต้องถาม เพราะคำถามมันเป็นความปรุงแต่ง หลวงตาตอบไปมันก็เป็นความปรุงแต่ง ถ้าถึงใจแล้วเนี่ย ไอ้ตรงที่ไม่มีคำถาม ไม่มีคำตอบนั่นแหละ
จะถามอย่างไรฝ่ายหนึ่งก็ปรุงแต่ง จะตอบอย่างไรอีกฝ่ายหนึ่งก็ปรุงแต่ง ถามกี่ปีกี่ชาติฝ่ายถามก็ปรุงแต่ง ฝ่ายตอบก็ปรุงแต่ง
ตรงที่ไม่มีคำถามไม่มีคำตอบ นั่นแหละคือใจ นั่นแหละคือที่สุดแห่งทุกข์
ถึงบอกว่า ... “ถึงใจแล้วไยต้องถาม”
เหมือนหลวงปู่ทา จารุธัมโม ท่านว่าเดี๋ยวจะพาไปหาพระนิพพาน พระนิพพานอยู่ฟากน้ำฝั่งโน้น... กอดเราแล้วก็พาชี้มือ ... นู้น ... พระนิพพานอยู่ฟากน้ำฝั่งนู้น ลิบ ๆ ๆ ๆ แล้วก็เลี้ยว ๆ ๆ ๆ มาทิ่มที่ใต้ตา
พระนิพพานอยู่ฟากน้ำ ... ริมตา
ให้เอาปริศนาธรรมนี้ไปตีให้แตก ครั้นลูกศิษย์เราพยายามจะขอร้องให้หลวงปู่ตีปริศนาธรรมนี้ หลวงปู่ก็เลยต่อบันไดให้ว่า
ฟังให้ดีนะ ... พระนิพพานอยู่ฟากน้ำฝั่งนู้น ลิบ ๆ ๆ ๆ แล้วก็เลี้ยว ๆ ๆ ๆ มาแล้วก็ทิ่มที่ใต้ตา มองข้ามมันไปหาซะไกลลิบ แท้จริงมันอยู่ตรงปริศนาธรรมอันนี้เองว่า ...
พิจารณาให้ดี ให้ถึงใจว่า “ทำไมเกิดมาขนคิ้วกับขนตามันจึงยาวไม่เท่าเส้นผม?”
พยายามจะฝืนความจริง เกิดมาพยายามจะให้ขนคิ้วกับขนตามันยาวเท่าเส้นผม แต่มันก็คงเป็นเช่นนั้น
ตรงที่มันรู้แก่ใจว่า “ทำไมเกิดมาขนคิ้วกับขนตามันจึงยาวไม่เท่าเส้นผม” นั่นแหละคือ “ใจ” ที่ไม่มีคำอธิบาย เพราะมันรู้ขึ้นมาเลยว่า ธรรมชาติมันเป็นอย่างนี้เอง
ธรรมชาติที่มันไม่มีคำตอบ ไม่มีความสงสัย ไม่มีคำถาม ไม่มีความดิ้นรน ไม่มีความอยากอะไร แต่มันรู้ว่าอะไรเป็นอะไร
มันรู้ว่าทุกอย่าง ... “ธรรมชาติมันเป็นเช่นนี้เอง”
มันเป็นอย่างนี้เอง ว่าขนคิ้วกับขนตา ยังไงมันก็ไม่มีทางเท่าเส้นผม!!!
พระนิพพานอยู่ฟากน้ำฝั่งนู้น ลิบ ๆ ๆ ๆ มองข้ามไป
แล้วก็เลี้ยวมาทิ่ม ... ใต้ตา
พระนิพพานอยู่ฟากน้ำฝั่งนู้น ... ริมตา
ทำไมเกิดมาขนคิ้วกับขนตาจึงยาวไม่เท่าเส้นผม
ทุกอย่างมันมีเหตุปัจจัยของมัน แต่เราเองพยายามจะไปฝืนเหตุปัจจัย อยากให้มันเป็นอย่างที่เราต้องการ แต่ธรรมชาติมันมีเหตุปัจจัยของมัน มันเชื่อมโยงกัน ความที่รู้แจ้งแก่ใจว่าทุกอย่างมันเป็นธรรมชาติที่เป็นเหตุปัจจัยของมันอย่างนี้
ถ้าธรรมชาติมันสร้างขนคิ้วกับขนตาให้หนาเท่าเส้นผม ก็คงจะลืมตาไม่ได้ หนักมากเลย มันเลยสร้างขนคิ้วกับขนตาให้บางแค่นี้ ถ้าธรรมชาติมันสร้างเส้นผมให้บางเท่าขนคิ้วกับขนตา มันก็บังร้อนบังหนาวอะไรไม่ได้
ธรรมชาติเค้าสร้างมาด้วยเหตุผลของเขาถูกต้องและสมบูรณ์ทุกอย่าง
“ใจ” นั่นแหละคือผู้รู้ธรรมชาติ และยอมรับธรรมชาติตามความเป็นจริง
แล้วไยจะต้องมีคำถามอีก? แล้วไยต้องการคำตอบอีก?
ในปัจจุบันขณะ มันเป็นอย่างไร มันก็ต้องเป็นอย่างนั้นแหละ
อย่างตอนนี้ฟ้าแลบ ฟ้าผ่าเต็มไปหมดเลย พายุเข้า มันก็ต้องเป็นอย่างนี้ นี่คือมันเป็นอย่างนี้
ถ้าใครยอมรับธรรมชาติในปัจจุบันขณะตามความเป็นจริงอย่างที่มันเป็นไม่ได้ คนนั้นก็ทุกข์เอง ทุกข์เพราะพยายามฝืนความจริง ธรรมชาติมันเป็นเช่นนั้นเอง มันเป็นอย่างนั้นเอง
ส่วนปัญหาทางโลกก็แก้ไป ญาติพี่น้อง ตัวเราเจ็บไข้ได้ป่วยก็พาไปหาหมอไป ปัญหาทางโลกก็แก้ไป แต่พอมีใครเจ็บไข้ได้ป่วย เป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ ... มันไม่น่าเลย ... มันไม่น่าอย่างนี้เลย มันไม่น่าเป็นอย่างนี้เลย มันไม่น่าอย่างนั้นเลย คนนั้นทุกข์ตาย ก็มันเป็นอย่างนี้แล้ว ธรรมชาติเหตุปัจจัยมันเป็นอย่างนี้แล้ว
ใจเท่านั้นแหละยอมรับในเหตุปัจจัยนั้น ตามความเป็นจริงในขณะนั้น ส่วนปัญหาก็แก้ไข ถ้าไม่เข้าใจธรรมชาติแบบนี้ทุกข์ตาย อะไรมันก็ไม่น่าเลย ... อะไรมันก็ไม่น่าเลย
วันหนึ่งหลวงปู่ หลวงพ่อไม่อยู่วัด เณรหรือพระไม่รู้ทำกระถางแตก กลัวมากเลย ทุกข์มากเลย รอจนกว่าหลวงปู่หลวงพ่อจะกลับมา มีความทุกข์มาก ว่าทำกระถางต้นไม้ของหลวงปู่หลวงพ่อแตกแล้ว ท่านรักมาก พอท่านมาถึงแล้ว ท่านก็ไม่ได้ว่าอะไร พระเณรก็ไม่เห็นท่านว่าอะไร ทำไมท่านไม่ว่าอะไรล่ะ ไม่ดุ ไม่ว่า ไม่โกรธ
ท่านก็บอกว่า ก็เมื่อโยมเค้าเอามาถวายแล้ว ก็ต้องดูแลรักษามันไปตามเหตุตามปัจจัย แต่ตอนนี้เหตุปัจจัยนั้นมันแตกไปแล้ว ท่านดูแลรักษารดน้ำมันไม่ใช่ด้วยความยึดถือ แต่เพราะโยมเค้าเอามาถวาย ก็ต้องดูแลรดน้ำมันไป
แต่เหตุปัจจัยตอนนี้ท่านกลับมา มันไม่เหมือนเดิมแล้ว มันแตกแล้ว ก็เหตุปัจจัยอันใหม่มันแตกแล้ว แล้วจะบอกว่ามันไม่น่าแตก ก็ความจริงมันแตกแล้ว
ความที่ท่านรู้แจ้งแก่ใจอย่างนี้ ในสัจธรรมความจริงทุกปัจจุบันขณะ ยอมรับในเหตุปัจจัยที่มันเปลี่ยนแปลงไปตามความเป็นจริงในปัจจุบันขณะ ทั้งภายนอกและภายในร่างกายจิตใจของเรา ความทุกข์มันก็ไม่มี
ที่มันทุกข์เพราะว่า ... “มันไม่น่าเลย”
มันทำไมจิตมันเป็นอย่างนี้อยากให้มันเป็นอย่างนั้น มันไม่น่าเป็นอย่างนี้เลย พอจิตมันเป็นอย่างนี้ อยากให้เป็นอย่างนั้น พอจิตมันสงบ อยากให้มันสงบอย่างนี้ ไม่อยากให้มันไม่สงบ พอมันไม่สงบ มันไม่น่าจะไม่สงบเลย มันน่าจะสงบ ทำไมมันฟุ้งซ่านอย่างนี้
เอ้า... ก็ตอนนี้มันฟุ้งซ่านก็ฟุ้งซ่านสิ!!! ก็เรื่องของมันน่ะ เหตุปัจจัยตอนนี้มันฟุ้งซ่าน เหตุปัจจัยตอนนี้มันสงบ มันไม่เหมือนกัน คนละเหตุ คนละขณะ แต่ตอนนี้ขณะนี้มันสงบ ตอนขณะนี้มันฟุ้งซ่าน
ถ้าเรายอมรับมันได้ทั้งสองหน้าทุกปัจจุบันขณะ นั่นแหละ นั่นคือ “ใจ” แต่ที่ไม่ยอมรับน่ะ นั่นแหละไม่ใช่ใจ เพราะมันทุกข์ได้ ใจทุกข์ไม่ได้
ไม่ต้องไปหาว่าใจคืออะไรหรอก ถ้ามันยอมรับอะไรไม่ได้นั่นแหละ ที่มันเป็นความทุกข์ได้ไม่ใช่ใจ เพราะใจแท้ ๆ น่ะมันยึดถืออะไรไม่ได้ มันไม่ยึดถืออะไร นั่นคือใจ
นั่นแหละหลวงปู่ทาจึงให้ปริศนาธรรมว่า พระนิพพานอยู่ฟากน้ำฝั่งนู้น... ลิบ ๆ ๆ ๆ ๆ ริมตา เรามองข้ามมันไป ทำไมเกิดมาขนคิ้วกับขนตาจึงยาวไม่เท่าเส้นผม?
อยากจะให้ขนคิ้วกับขนตามันยาวเท่ากัน ยังไงมันก็ยาวไม่เท่าเส้นผม แต่ก็พยายามจะอยาก พยายามจะฝืนอยู่นั่นแหละ เป็นเพราะอะไรเล่า ขนคิ้วกับขนตาจึงยาวไม่เท่าเส้นผม
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
โอวาทธรรมจากไฟล์เสียง
190407B2-1 ธรรมชาติมีเหตุปัจจัยของมัน
7 เมษายน 2562
ฟังจากยูทูป :
https://youtu.be/liCCJYqxSGs
ฟังจากระบบซาวด์คลาวด์ :
https://soundcloud.com/luangtanarongsak/190407b2-1
ดาวน์โหลด (คอมพิวเตอร์) :
http://bit.ly/2Ghe5EB