ธรรมชาติของ "ธาตุรู้" แท้ ๆ ...เค้าสังขารไม่ได้ พยายามจะรักษาตัวเค้าเองก็ไม่ได้ เค้าจะไปเป็นอะไรก็ไม่ได้ พยายามจะให้ตัวเองไม่เป็นอะไรก็ไม่ได้ จะพยายามไปรักษาตัวเองให้ไม่สังขารก็ไม่ได้
เพราะเค้าเป็นธรรมชาติ ... เป็นธรรมชาตินะ เป็นธรรมชาติที่ไม่ปรากฏอะไรเลย ไม่ปรากฏอาการใด ๆ เลย เค้าจึงแสดงกิริยาอาการใด ๆ ไม่ได้ทั้งหมด มีแต่รู้อย่างเดียว ... มีแต่รู้อย่างเดียว
ถ้าเราเข้าใจอย่างนี้ ทุกครั้งที่หลงไปเป็นสังขาร สติปัญญาก็มาทัน อ้าว ...สติปัญญาก็มาทัน ทำไมหลงไปเป็นสังขารอย่างนี้ ... ?
เพราะว่าสังขารมันเวียนว่ายตายเกิด มันเกิดดับ มันไม่เที่ยง แล้วมันจะต้องไปสู่โลก
ทั้งสามก็ไปด้วยสังขาร ถ้าไม่เป็นสังขาร มันได้แต่รู้ มันก็จะไม่เกิดไม่ดับ
ภพชาติทั้งหมดก็จบสิ้นลงในปัจจุบัน และ จบสิ้นลงตลอดกาล
เอ้า ... ทำไมหลงสังขารอย่างนี้? เมื่อรู้ตัวอย่างนี้ ... ว่าหลงสังขาร มันก็จะหายหลง เป็นขณะจิต ๆ แล้วมันก็จะกลายเป็นหลง เป็นขณะจิต ๆ แล้วก็จะหายหลง เป็นขณะจิต ๆ
แต่มันเพียงแค่หายหลงเป็นขณะจิต ด้วย “สติปัญญาของเจ้าตัว” นี่มันสำคัญมาก เพราะว่ามันเป็นประสบการณ์ที่สำคัญ อันประเสริฐ
มันจะทำให้เราได้รับการเรียนรู้ ได้รับบทเรียนของความหลงในแต่ละขณะจิต กลายเป็นความสิ้นหลงสังขาร ไม่หลงไปเป็นสังขาร ... เป็น "ใจ" ที่ไม่สังขาร
มีหนึ่งเดียวเท่านั้นที่จะพ้นจากทุกข์ได้ คือ ใจที่ไม่สังขาร
เป็นธรรมชาตินะ ... ไม่ใช่เอา "ตัวเรา"พยายามที่ไม่สังขาร! เป็นธรรมชาติของใจ หรือ เป็นธรรมชาติของ "ธาตุรู้" เป็นธรรมชาติของ วิสังขาร อสังขตธาตุ อสังขตธรรม หรือนิพพานธาตุ หนึ่งเดียวเท่านั้น ที่จะพ้นจากสังขาร พ้นจากทุกข์ พ้นจากภพชาติ พ้นจากวัฏฏะสงสาร
ประสบการณ์ตรงจากใจของเจ้าตัวนั่นแหละ มันจะสอนเอง สอนใจของเจ้าตัว ว่าอะไรเป็นอะไร ต้องเรียนรู้มันจากประสบการณ์ตรง
อย่าไปใช้ความพยายาม อย่ามี เจตนา จงใจ ตั้งใจ ใช้ความพยายาม มันจะกลายเป็นหลงสังขาร
ให้สังเกตอยู่เงียบ ๆ ที่ใจ แล้วมันก็จะเห็นว่าสังขารเกิดเองดับเอง สังขารเกิดเองดับเอง
สังขารเกิดเองดับเอง ... เกิดเองดับเอง
อย่าหาเรื่องอะไรมาคิดในใจขณะนั้น แม้แต่คำบริกรรม แล้วก็อย่าพยายามจงใจตั้งใจเจตนาหรือพยายาม
เว้นขาดจากการพยายามฝ่ายผู้รู้
เว้นขาดจากการตั้งใจฝ่ายผู้รู้
เว้นขาดจากการจงใจฝ่ายผู้รู้
เว้นขาดจากความพยายามฝ่ายผู้รู้
คือ อยู่ๆ ก็ตั้งใจจงใจพยายาม หรือ เจตนาที่จะเข้าไปดูจิตอย่างเนี้ย ถ้ามันเริ่มต้นแบบนี้ก็คือหลงสังขารแล้ว! เพราะว่าเจตนาตั้งใจจงใจพยายาม กริยาอาการแบบนี้ ที่มันแสดงออกอย่างนี้ มันคือ หลงสังขาร
พอมันเริ่มต้นที่จะเข้าไปดูจิต ด้วยเจตนาจงใจตั้งใจพยายาม หรือ มีกิริยาที่เริ่มต้นจะเข้าไปดูจิต เข้าไปดูอะไร เข้าไปค้นหาอะไร นั่นแหละ คือ "หลงสังขาร" แล้ว ต้องพ้นจาก “เจตนา” ถึงจะเป็น “อกิริยาจิต” ได้
อกิริยานั่นแหละจึงจะเป็นที่สุดแห่งทุกข์ ถ้ายังเป็นกิริยาอยู่ยังตกอยู่ใต้กฏ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
กิริยาจิตทั้งหมดเป็นของไม่เที่ยงเป็นทุกข์ เป็นทุกข์ พ้นจากกิริยาเป็น “อกิริยา” จึงจะพ้นจากทุกข์ได้
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
โอวาทธรรมจากไฟล์เสียง
190316A1-3 พ้นจากกริยาเป็นอกริยา
16 มีนาคม 2562
ฟังจากยูทูป :
https://www.youtube.com/watch?v=_1XeHYR_xwE