เปรียบเทียบให้เห็นเป็นรูปธรรม...
"ใจ" หรือ "ธาตุรู้" เปรียบเหมือนครรภ์ หรือมดลูกของผู้หญิง
ส่วน "วิญญาณขันธ์" จิตหรือวิญญาณขันธ์ในขันธ์ที่ห้า ไปรับรู้ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ ก็จะต้องมีเจตสิกอีกสามขันธ์ คือ เวทนา สัญญา สังขาร เอามาพูดเอามาพากษ์ในใจ ก็เปรียบเหมือนว่า ทุกขณะที่จิตวิญญาณขันธ์ ไปรับรู้ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วเอามาพูดพากษ์อยู่ในใจ ก็คือเปรียบเหมือนมีเด็กมาเกิดในครรภ์
ขณะนั้นมีเด็กมาเกิดในครรภ์ ไม่ว่าจะคิดพูดพากษ์เป็นดี ก็เป็นเด็กที่ดี คิดพูดพากษ์ที่ชั่ว ก็เป็นเด็กที่ชั่ว คิดพูดพากษ์ที่เป็นบุญ ก็เป็นเด็กที่มีบุญมาเกิด คิดพูดพากษ์ที่เป็นบาป ก็เป็นขณะจิตนั้น เป็นเด็กที่เป็นบาปมาเกิด มันไม่ใช่เป็นสาระสำคัญแก่นสารอะไร
หากเป็น "ใจ" ไม่หลงไปกับเด็กที่มาเกิด หากเป็นครรภ์หรือมดลูกไม่หลงกับเด็กที่มาเกิด ครรภ์หรือมดลูกก็คงเป็นครรภ์
แต่เด็กที่มาเกิดมาคลอด แล้วก็คลอดออกไป เด็กที่มาเกิดแล้วคลอดออกไป เด็กที่มาเกิดแล้วคลอดออกไป ส่วนใจเปรียบเหมือนเป็นครรภ์หรือมดลูก ไม่ได้เกิดไม่ได้ดับ ไม่ได้คลอดด้วย
แต่เนื่องจากเค้าเป็น “ธาตุรู้” เค้าจึงรู้ว่าตอนนี้มีเด็กอะไรมาเกิดในครรภ์ แต่เด็กนั้นก็คลอดออกไป แต่ใจไม่ได้คลอดด้วย ใจคงเป็นธาตุรู้และเป็นอมตะตลอดไป
เมื่อ "ขันธ์ห้า" ตายแตกดับสิ้นอายุขัย วิญญาณขันธ์ก็ทำหน้าที่ไม่ได้ ไปรับรู้ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจไม่ได้ เพราะว่าประตูตา ประตูหูประตูจมูก ประตูลิ้น ประตูกาย ประตูใจ เน่าหมดแล้ว ดับหมดแล้ว
วิญญาณขันธ์ไม่มีประตูให้รับรู้ก็ดับไปด้วย เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็ดับหมด รูปร่างกายก็เน่าหมด ผลสุดท้ายขันธ์ห้าเน่าดับสลายหมด
"ดิน" ธาตุดิน ก็ไปเผาเป็นขี้เถ้าเอาไปลอยน้ำก็จมหายไปเป็นทรายไป
"ธาตุน้ำ" ก็ถูกเผาก็ระเหยเป็นน้ำให้คนอื่นสัตว์อื่นเอาไปกินต่อไปพืชก็เอาไปกินต่อไป
"ธาตุลมหายใจ" เผาระเหยออกไป ออกซิเจนออกไป สัตว์อื่นคนอื่น พืชอื่น ก็เอาไปกินต่อไป
"ธาตุไฟ" ความร้อน ความอบอุ่น ออกจากร่างไปถูกเผา ก็ระเหยไปคนอื่น สัตว์อื่น พืชอื่น ก็เอาไปกินต่อไป
"ธาตุอากาศ" ซึ่งเป็นความว่างก็กลับคืนสู่อากาศ
"ธาตุรู้" ก็ไปรวมกับความว่างของธรรมชาติจักรวาล กลายเป็นธาตุรู้ที่เป็นอมตะ
รู้แจ้งในสัจธรรมความจริง รู้สิ้นยึด รู้สิ้นหลง
เป็น "ผู้รู้ตื่น" ตื่นจากอวิชชาที่โง่เง่าหลับไหลมายาวนานหลายภพชาติ
เป็น "ผู้เบิกบาน" คือไม่หลงไปมีตัวตนไปยึดถือสิ่งใดให้เป็นทุกข์เศร้าหมองอีกต่อไป อย่างเป็นอมตะ
ถ้าเราเข้าใจระบบธรรมชาติแบบนี้ การปฏิบัติธรรมของเรา ก็จะไม่หลงทางไม่ผิดทาง ไม่มั่ว ไม่เช่นนั้นเราก็จะปฏิบัติธรรมมั่ว ๆ ตั้ว ๆ ไปหมดเลย หลงไปหมดนะ ไม่รู้ว่าปฏิบัติไปจะไปเอาอะไร ไปถึงอะไร ไปได้อะไร ไปเป็นอะไร ปฏิบัติมีแต่กิเลส แต่ปฏิบัติโดยไม่ได้เข้าใจธรรม ... ไม่รู้ธรรม เห็นธรรม
เพราะความที่ปฏิบัติ ... มีแต่ เพื่อความรู้แจ้งในธรรม"ว่าธรรมชาติเป็นอย่างไร ยึดมั่นถือมั่นไม่ได้ ตัวตนไม่มี ไม่ใช่ไปท่องเอาว่าตัวตนไม่มี ตัวตนไม่มี!
แต่ปฏิบัติเพื่อให้เข้าถึง "ธาตุ" ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศธาตุ และ "ธาตุรู้" เท่านั้น ให้เห็นสัจธรรมความจริง
ไม่ใช่ปฏิบัติธรรม ฟังธรรม อ่านธรรม เรียนธรรม เพื่อไปเป็นอะไร เพื่อไปได้อะไร เพื่อจะไปเอาอะไร มันไม่มี ได้อะไรไม่ได้อะไร
มีแต่ความรู้ความจริง รู้ว่าอะไรมันเป็นอะไร... จะได้ไม่หลงอีกต่อไป
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
โอวาทธรรมจากไฟล์เสียง
190316A1-3 พ้นจากกริยาเป็นอกริยา
16 มีนาคม 2562
ฟังจากยูทูป :
https://www.youtube.com/watch?v=_1XeHYR_xwE