สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นมาจากความไม่มีอะไร หรือ
เกิดขึ้นมาจาก "ใจ" แล้วทั้งหมดก็ดับหายไปที่ใจ
สังขารทั้งหมดเกิดที่ใจ แล้วก็ดับที่ใจ
แม้แต่กิเลสก็เกิดที่ใจ และดับที่ใจ
เมื่อสิ้นกิเลสแล้ว สังขารที่เป็นขันธ์ห้า ก็ยังเกิดที่ใจ และ ดับที่ใจ ไม่ไปสามารถเกิดที่อื่นได้
สังขาร “จิตตสังขาร” ทั้งหมดย่อมเกิดที่ใจ และดับที่ใจ ซึ่งเป็นความว่างเปล่า ไม่มีอะไรเลย
เมื่อใจเป็นความว่างเปล่าเสียแล้ว แล้วยังจะเอาใจไปยึดถืออะไรอีกเล่า แล้วจะมีใครมายึดถือใจเล่า เพราะมันเป็นเพียงแค่ความไม่มีอะไรเลย
แต่สังขารทั้งหมดปรากฏขึ้นมาจากความไม่มีอะไร แล้วก็ดับไปในความไม่มีอะไร และมันก็มีสังขารความรู้สึกนึกคิดอารมณ์ ผู้รู้ ผู้จ้อง ผู้เพ่ง ผู้มีความรู้ ความเห็น ความเข้าใจ เกิดขึ้นมาใหม่จากความไม่มีอะไร แล้วก็ดับกลับคืนไปสู่ความไม่มีอะไร
จงเป็นอยู่เช่นนี้ จนกว่าจะสิ้นอายุขัย สังขารทั้งหมดก็ดับลง
เหลือแต่ความรู้ว่า... บัดนี้ทั้งปัจจุบันขณะนั้น และตลอดไป
สิ้นผู้ยึดมั่นถือมั่นแล้วไม่มีสังขารแล้ว พ้นสังขารแล้ว
เป็นความรู้ที่พ้นสังขาร สิ้นสังขาร ไม่สังขาร
กลายเป็นใจที่เป็นความรู้อยู่ในธาตุของเค้าเอง
คือ ว่างเปล่า สงบ เงียบ สงัด ไม่ได้ยึดถืออะไรเลย
ไม่มีคำพูดใด ๆ ในนั้น ไม่มีความปรุงแต่งใด ๆ
มีแต่ความรู้ว่าไม่มีผู้ยึดถือใด ๆ
ไม่มีผู้ยึดถือใด ๆ ทั้งหมด ไม่ยึดถือแม้แต่ความรู้ ความเห็น ความเข้าใจ
ไม่ยึดถือทั้งโลก ไม่ยึดถือทั้งธรรม
ไม่ยึดถือทั้งตัวผู้รู้นั้นเองด้วย
จะต้องไม่ยึดถืออะไรเลย ไม่ใช่เอาตัวเราไปยึดถือ “วิสังขาร”
เมื่อเรารู้สึกว่าเราได้วิสังขาร นั่นแหละ คือ "กิเลส"
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
โอวาทธรรมจากไฟล์เสียง
190215B-5 ตัดหางปล่อยวัดผู้ยึดถือ
15 กุมภาพันธ์ 2562
ฟังจากยูทูป :
https://www.youtube.com/watch?v=yQKjwT4fRTc