โยม : กราบขอโอกาสค่ะ เวลาไม่สบายเนี่ย กลางคืนเวลามันนอน มันจะรู้ตัว ทีนี้มันจะเห็นจิตมันดิ้นน่ะค่ะ
หลวงตา : ตรงนี้สำคัญเลย เวลาไม่สบายนะ แล้วนอนหลับเนี่ย เห็นจิตมันดิ้น
จิตมันดิ้นยังไง แล้วมันทำไมจึงดิ้น ? เอ้า … ไหนอธิบายซิ
โยม : มันอยากจะให้มันหาย
หลวงตา : อยากให้มันหาย อยากจะให้ออกจากความเจ็บป่วย ?
โยม : ค่ะ
หลวงตา : ตรงนี้อันตรายมากเลย !
โยม : แล้วเสร็จแล้ว มันก็จะมีสติรู้ขึ้นมา อย่างงี้ไปเรื่อย ๆ ค่ะ คือ เหมือนไม่ได้นอนทั้งคืนค่ะ
หลวงตา : นี่โอกาสทองมากเลยนะ โอกาสทองมากเลย ที่เห็นจิตมันดิ้นตอนที่จะตาย ตอนที่มันเจ็บไข้ได้ป่วย
เพราะว่าไอ้จิตที่มันดิ้น คือ ไอ้ตัวที่จะออกจากร่าง ถ้าเราไปเป็นมันน่ะ หลงไปเอาไอ้จิตที่ดิ้นเป็นตัวเรา หรือ เอาตัวเราไปเป็นจิตที่ดิ้น เราอยากจะดิ้นออก
เราเนี่ย… "เรา" เป็นคนดิ้นเลย เราน่ะเป็นคนดิ้น อยากจะออกจากความเจ็บป่วย
พอถึงจะตาย ไฟธาตุจะแตก มันจะดิ้นออกจากร่างเราเลยกระเด็นออกไปเลย
พอมันเจ็บป่วยทุกข์ทรมานแล้ว มันหาลมหายใจไม่เจอ เฮือก! เฮือก! เฮือก! มันดิ้นเลย
ไอ้ตัวเราเนี่ย ดิ้นกระเด็นหลุด ปึ๊ง!ออกไปเลย แล้วยมทูตลากเอาไปเลยต่อหน้าต่อตา
มันจะต้องไม่มีตัวเราออกไป! จะไม่มีตัวเราออกไปได้ "กรณีเดียว" คือ เห็นไอ้ตัวดิ้น "… ไม่ใช่ตัวเรา ..." มันเป็นตัวสังขาร ตัวปรุงแต่ง
นี่คือโอกาสทองเลย... ถ้าไม่เจ็บไม่ป่วยไม่เห็นตัวนี้ง่าย ๆ หรอก
พอเจ็บป่วยปุ๊บ! มันมีตัวที่ดิ้นรนกระเสือกกระสนอยากให้หาย อยากจะออก จะพ้นสภาวะที่เป็นอยู่ ไอ้ตัวที่ดิ้นอยากจะออกจากภาวะที่เป็นอยู่เนี่ย คือ ตัวที่จะออกจากร่างเลยตัวนี้
นี่คือ “อวิชชา ปัจจยาสังขารา สังขาราปัจจยา วิญญานัง”
ไอ้ตัวนี้ ที่มันจะออกจากร่าง เป็น “ตัวตน” เป็น “กายโปร่งแสง” ไอ้ตัวดิ้นที่มันจะออกจากร่าง
ถ้าเห็นว่าไอ้ตัวดิ้น เป็นตัวสังขารตัวปรุงแต่ง
ไม่ยึดถือนี่เป็นเรา เป็นตัวเรา พอตายแล้วดับ ปุ๊บ!
ไอ้ตัวที่ดิ้นเนี่ย … ดับเลย ! … ไม่มีตัวเราออกจากร่าง
กลายเป็นเหลือแต่ “ความรู้” ว่าไอ้ตัวดิ้นก็ไม่ใช่ตัวเรา เหลือแต่ความรู้ว่า ไม่มีตัวเราเลย …
โอกาสทองนะ... เจ็บป่วยเนี่ยโอกาสทอง ตอนไม่ป่วยมันก็ประมาทนะ เพลินคิดไปวัน ๆ ตอนเจ็บป่วยมาก ๆ จะเป็นจะตายนี่โอกาสทอง เห็นเลย เห็นไอ้ตัวดิ้นเลย ดิ้นอยากจะออกจากเวทนา ดิ้นออกจากอะไร ดิ้นออกจากสภาวะอะไรเนี่ย ดิ้นขลุกขลัก ๆ ขลุกขลัก ๆ ไอ้ตัวเนี้ย ... หลุดเลย
บางที ใครมาชวนปุ๊บ ไปกับเค้าเลย เพราะว่ามันอยากจะออกจากไอ้ตัวนี้แหละ เต็มทีแล้ว มีใครมากวักมือเรียก ตามชั้นมาหน่อย ออกไปปุ๊บ ! ตายเลย แถมมีตัวตนออกไป เค้าพาไปเลย เค้าหลอกพาไปเลย
บางทีก็เห็นป่าไม้ เห็นดอกไม้สวยงาม ทุ่งโล่ง โอ้โห..มันอยากจะดิ้นออกอีกแล้ว พอเห็นอย่างงี้ปุ๊บ ออกเลย ออกไปเลย ... ตายเลยนะ! ตายแล้วก็ไปเลยน่ะ ไปเลยไปสู่ภพชาติ ตายเลย มีตัวเราลอยละล่องออกไปเลย เป็นผีลอยออกไปเลย
มันต้องไม่มี ต้องรู้เท่าทัน ไอ้ตัวที่จะออกไปไหนน่ะ
พอรู้เท่าทัน ปุ๊บ! มันเหลือแต่ "รู้ "
แต่ไม่เป็นไอ้ตัวดิ้น มาเป็น "รู้" เหลือแต่รู้
เหลือแต่รู้ว่า ไอ้ที่ดิ้นน่ะ ไม่ใช่เรา
แล้ว “รู้” นี่ ก็ไม่ใช่เรา
ได้แต่ … มันเป็น “ธาตุรู้” ที่บริสุทธิ์
มันเป็น “ความรู้” ที่ไม่มีใครยึด
มันเป็นความรู้ที่ไม่กระดุกกระดิก
ไม่ดิ้นรนไม่กระเสือกกระสน
ไม่มีความสุขความทุกข์ในนั้น
มันเป็นความรู้ที่ไม่ปรากฏตัวอะไรเลย ไม่ปรากฏทั้งหมด
เป็นแต่ความรู้ที่ว่างเปล่า
เห็นไอ้ตัวดิ้นนะ ... สำคัญมากเลยตัวนี้
มันจะกระเด็นออกไปนะ พอมันจะออกนะ มันจะเหมือนว่าไอ้ตัว "อมีบ้า" มันจะคอดปุ๊บ แล้วก็หลุดปึ๊ง ออกไปเลย
ขันธ์ห้าก็เหมือนไอ้ตัว "อมีบ้า" ตุ่มหนึ่ง เหมือนตัวอมีบ้า ที่มันคอดกลางน่ะ
แล้วก็พอมันจะออกจากร่าง จะมีตัวตนออกจากร่างปุ๊บ!
พอมัน ดิ้น … ดิ้น … ดิ้น มันเจ็บปวดทุกข์ทรมานไม่ไหวจริง ๆ
ไอ้ขันธ์ห้ามันก็เหมือนกับไอ้ตุ่มหนึ่งของอมีบ้า
แล้วก็อีกตุ่มหนึ่งมันสร้างอีกตุ่มหนึ่ง คือ ตัวเราเนี่ย
มันสร้างคอดปุ๊บ! ออกเลย กระเด็นหลุดออกไปเลย
ออกไปจากขันธ์ห้าเลย อีกตัวหนึ่งเนี่ย
เอ้ย ! อย่าออกไป ออกไปไหนเนี่ย ออกไปทำไม … ?
พอออกไปปุ๊บก็ตายเลย
ถ้ามันรู้ทันนะ ออกไปทำไม … ? ปุ๊บ! มันก็ไม่ตาย
มันคืนกลับมาได้ พอหลงปุ๊บ ! ตายเลย
กลับมาเพื่ออะไร …?
ต้องให้เห็นว่า ไอ้ตัวนี้ … ไม่ใช่ตัวเรา
อย่าไปยึดถือเป็นตัวเรา
ตัวที่ดิ้นออกไปเนี่ยไม่ใช่ตัวเราเป็น “สังขาร”
เป็นความปรุงแต่ง มันหลอกลวงเป็นมายา
อย่าไปยึดถือมัน "ใจ" ก็เลยว่างเปล่า
พอตายแล้วไอ้ตัวที่ดิ้นรนดับหมด
เหลือแต่ใจที่ว่างเปล่า
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
โอวาทธรรมจากไฟล์เสียง
190215B-5 ตัดหางปล่อยวัดผู้ยึดถือ
15 กุมภาพันธ์ 2562
ฟังจากยูทูป :
https://www.youtube.com/watch?v=yQKjwT4fRTc