สิ้นเยื่อใยสิ้นอาลัยอาวรณ์ตัดใจจากทุกสิ่ง
ยึดถือห่วงใยอาลัยอาวรณ์อะไรไว้
เพียงแค่ธุลีเดียว หรือ น้อยหนึ่งนิดหนึ่ง หรือ แค่ปรมาณูหนึ่ง
นั่นแหละวิญญาณไม่ดับ ปฏิสนธิวิญญาณไม่ดับ
… มีที่ไป มีผู้ไป ...
เมื่อมีที่ไป ก็คือ มีที่ยึดถือ ก็เลยมีที่ไป
เมื่อมีที่ไป ก็ต้องมีผู้ไป
ถ้ามีผู้ไป ก็ต้องมีผู้มาเกิด
ไม่มีที่ยึดถือ ไม่มีสิ่งที่ยึดถือ ... ก็ไม่มีที่ไป
เมื่อไม่มีที่ไป สิ้นลมหายใจแล้ว ก็ไม่มีผู้ไป
ไม่มีผู้ออกจากร่างนี้ไป ก็ไม่มีผู้ที่จะต้องมาเกิด
เพราะไม่มีผู้ที่ออกร่างนี้ไป "ผู้จะมาก็ไม่มี "
เพราะเมื่อไม่มีสิ่งที่ยึดถือไว้ สิ่งที่หมายเอาไว้ในใจ
แม้แต่ความว่างเปล่า แม้แต่ความบริสุทธิ์ก็ไม่มี ไม่ได้เป็นที่หมายไว้ในใจ
ถ้ายังหมายความว่างเปล่าความบริสุทธิ์ไว้
ความเวิ้งว้าง ความไม่มีอะไร
มันก็จะต้องมีเหมือนดั่งอวกาศ ... "เป็นที่ยึดหมาย"
เมื่อสิ้นลมหายใจก็จะมีตัวเราออกจากร่างไปสู่อวกาศ ไปเป็นดวงจิตวิญญาณที่ลอยเท้งเต้งอยู่ในอวกาศ แล้วก็ต้องมีผู้มาเกิดอีก เวียนเกิดเวียนตายอีก
ดังนั้นแม้แต่ว่างเปล่าจนไม่มีอะไรเลยเหมือนดั่งอวกาศ ก็เอามาเป็นที่หมายยึดถือไว้ในใจไม่ได้
ถ้ามันยังมีที่หมายยึดถือไว้ในใจ … ที่ไปมีอยู่
เพราะมีที่ยึดถือ ที่หมายไว้ ... ผู้ไปย่อมมี
เมื่อดับลมหายใจเฮือกสุดท้าย ย่อมมีตัวตนของผู้ออกไป ผู้มาก็ย่อมมี ผู้เกิดใหม่ย่อมมี เพราะจิตวิญญาณที่ออกไปไม่ดับ
วิญญาณอันนี้ จิตวิญญาณอันนี้ หมายถึง วิญญาณที่จะไปเกิดใหม่
เป็น "ปฏิสนธิวิญญาณ" ใน "ปฏิจจสมุปบาท"
แต่จิต หรือ ใจที่บริสุทธิ์ คือ ไม่มีตัวตนของเราเป็นผู้ไปยึดถือ ... อันนั้นน่ะเป็น "อมตะ"
คือ ไปเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติอย่างเป็นอมตะ
เพราะว่าจิตหรือใจแท้ ๆ ที่เค้าเรียกว่าจิตดั้งเดิมแท้ ๆ หรือ ธาตุรู้ที่บริสุทธิ์ ที่ไม่มีผู้ไปหลงยึดถือ
ไม่มีตัวเราไปขี้ตู่ ไปเอามาเป็นเจ้าของ
ไม่มีไปเอามาหมายยึดถือไว้ในใจ
และก็เป็นของเค้าเพราะว่าความ "อนาลโย" หรือ "ขีณาลโย" ... คือ สิ้นอาลัย
แล้วเค้าก็เลยเป็นความบริสุทธิ์โดยตัวของเค้า
ไม่มีผู้ยึดถือเค้า ไม่มีผู้ขี้ตู่ไปยึดถือจิตที่บริสุทธิ์
จิตที่บริสุทธิ์นี่แหละเป็นอมตะ ตายแล้วไม่มีตัวตนออกจากร่างออกไป ดับหมดทั้งกายหยาบ กายเนื้อ และกายทิพย์
"จิตทิพย์" ที่เป็นรูปเป็นร่างของกายทิพย์ เป็นจิตทิพย์ที่สร้างเป็นตัวเป็นตนปรุงแต่งไว้
เป็นมายาหลงปรุงแต่งหลอกลวงเรา สร้างเป็นรูปตัวเราไว้ในใจ พอตายขันธ์ห้า ตายหมด เหลือจิตทิพย์ที่สร้างเป็นรูปตัวตนไว้ในใจเรา ก็ดับไป
ถ้าสิ้นความยึดถือจริง ๆ ไม่มีที่หมายยึดถือไว้
เลยเหลือแต่จิตที่บริสุทธิ์ คือ ใจแท้ ๆ ที่บริสุทธิ์
เพราะไม่มีผู้หลงยึดถือ
กลายเป็นความว่างเปล่า ที่เป็น "ความรู้"
เป็นธาตุรู้ที่บริสุทธิ์ไปรวมกับความว่างของธรรมชาติจักรวาล
จึงอยู่ในทุกที่ อยู่ในทุกธาตุ เพราะในทุกที่ในทุกธาตุมีความว่างหมดจึงอยู่ในทุกที่ของธรรมชาติ ไม่ได้ตายสูญ ไปรวมเป็นหนึ่งเดียวกับธาตุตามธรรมชาติ ไปรวมกับธรรมชาติ ด้วยความ "สิ้นสมมุติ"
ไม่มีสมมุติมาเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย สัตว์นรก หรือ ไปอยู่ในโลกสวรรค์ก็ไม่มี ไปเป็นเทพเทวดานางฟ้าบนสวรรค์ก็ไม่มี ในโลกมนุษย์ก็ไม่มี
สิ้นสมมุติในโลกทั้งสาม กลับไปเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ
".. สิ้นสมมุติ ไปเป็นวิมุตติ ..."
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
โอวาทธรรมจากไฟล์เสียง
190214B-1 สิ้นอาลัยใจเรา
14 กุมภาพันธ์ 2562
ฟังจากยูทูป :
https://www.youtube.com/watch?v=UR2hbYInpD0