ผู้ถาม : กราบขอบพระคุณหลวงตาเจ้าค่ะ เดินความเพียรต่อเนื่อง สติกล้าขึ้น แม้หลับ มันก็เหมือนตื่นเป็นช่วง ๆ แต่การรู้สภาวธรรมในตอนหลับ มันไม่ได้ตั้งมั่นมาก รู้แต่ไหล เมื่อตื่นมาจึงรู้สึกตัว สภาวธรรมที่เกิดขึ้นเป็น 3 แบบ คือ
- มีสติ รู้กายเคลื่อนไหว เหมือนไม่หลง แต่จริง ๆ สังเกตดูดี ๆ มันมีความสว่าง และมีความคิดพูดอยู่ จึง อ้อ มันมีตัวเราไปเคลือบความมีสติไว้ เมื่อเห็นตัวเรานี้ การ "รู้ชัด" มันเคลื่อนออกมา "ความรู้สึกที่กาย" มันเบาบางเหมือนไม่มี แต่ก็ยังรู้สึกอยู่ แต่มันไม่เคลือบแล้ว
- เด้งเข้าใน คือมารู้สภาวธรรมในจิต แต่มันรู้แบบมีตัวเราเคลือบเช่นกัน จึงรู้จิตชัด เมื่อมีสติว่า ผู้รู้ไปดูจิตอยู่ สภาวะนั้นจึงหายไป
- สภาวะสงบเงียบ มันสงบเหมือนไม่มีอะไรเคลื่อนไหว ทุกสิ่งมืดลง แต่สังเกต ก็ยังมีตัวเรารู้ความสงบอยู่ เมื่อมีสติ ตัวเราเคลื่อนออกจากความสงบ และความสงบนั้นดับ เปลี่ยนเข้าสู่สภาวะอื่นอีก
ณ ขณะที่เดินความเพียร มีสติอยู่ มันปรากฏวนไปอยู่ใน 3 สภาวะนั้น ยิ่งต่อเนื่องมันจะยิ่งละเอียด ๆ เข้าไป แต่มันก็ยังวนอยู่ดี แต่ตอนที่หลุดจริง ๆ คือตอนที่ไม่ได้ตั้งใจ ตอนที่เผลอ ลืมเดินความเพียร ตอนนั้นมันจะเป็นสังขารเกิดดับในวิสังขารเป็นเหวลึกไม่มีก้นจริง ๆ แต่มันทำเอาไม่ได้ เดินความเพียรใด ๆ ไม่อาจเข้าถึงสภาวะนี้ได้เลย แต่ถ้ามันเป็นมันจะเป็นของมันเองเจ้าค่ะ ที่หลวงตาส่งมาของหลวงพ่อชา ทำให้ความรู้ความเข้าใจชัดเจนขึ้นเจ้าค่ะ ตัวเคลื่อนเข้าเคลื่อนออกได้ มันคือ ผู้รู้ที่เป็นวิญญาณขันธ์ ที่ละเอียดนั่นเอง
ขับรถไป เห็นล็อกเกตที่แขวนหน้ารถแกว่งไปมา พร้อมกับเห็นจิตมันแกว่งไปพร้อมกัน ณ ขณะนั้น มันเห็นว่า ทั้งล็อกเกตและจิต แกว่งไกวอยู่ในความว่าง มันน้ำตาไหล หลังจากนั้นมันเห็นทุกสิ่งเคลื่อนไหวในความว่างทั้งหมด มันสงบลึกซึ้งจริง ๆ เจ้าค่ะ แต่ทันทีที่มีคนเข้าไปอะไร ๆ มันเข้าไปเกาะความคิด ความสงบมันก็หายไปทันทีเจ้าค่ะ
หลวงตา : สังเกตให้ดี ๆ.. มันแอบมีกิเลส ได้แก่ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน คือ มีตัวเราอยากได้ อยากรู้ อยากพ้นทุกข์ อยากบรรลุธรรม อยากนิพพาน และไม่อยากให้มีกิเลส ไม่อยากทุกข์ ไม่อยากเกิดอีก
รู้เท่าทันเสีย
ความไม่รู้เท่าทัน มันเป็น “อวิชชา” ตัณหา อุปาทาน ดังนี้;
มันมีคนอยากให้เห็นทุกสิ่งเคลื่อนไหวอยู่ในความว่างตลอดไป
ไม่อยากให้มีคนเข้าไปอะไรกับอะไร
อยากให้มีความสงบอย่างนั้นตลอดไป หรือ
ไม่อยากให้ความสงบอย่างที่เป็นนั้นหายไป
ที่ถูกต้องตามธรรมชาติ ;
มันจะเป็นอย่างไร ก็ต้องเป็นอย่างนั้น เพราะ ในธรรมชาติ ไม่มีตัวตนของเราที่จะไปอะไรกับอะไร
ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2561