คำถาม : กราบนมัสการหลวงตาค่ะ... หลวงตาคะ โยมมีคำถามค่ะ จากข้อความธรรมทางไลน์กลุ่มที่ว่า
“หลวงตา : ถ้าสังเกตเห็นด้วยใจ ไม่ชัดเจน ว่า สังขาร ซึ่งเป็นความคิด นึก ตรึก ตรอง ปรุงแต่ง เกิดดับ ในใจ ที่เป็น ‘วิสังขาร’
แล้วเป็น ‘ใจ’ นั้น ที่รู้แก่ใจว่า มันเองคือความไม่มีตัวตน ไม่มีอะไรปรากฏเลย ที่ปรากฏได้ทั้งหมด ไม่ใช่ ‘มัน’
ก็จะหลงเอาจิตปรุงแต่งไปจับอารมณ์ (เวทนา) ที่โปร่ง โล่ง เบา สบาย ว่าง ๆ มีผลทำให้ไม่เห็นสังขาร เกิดดับ ในใจที่ไม่สังขาร”
คำถามคือ ถ้ามีรู้ที่รู้อาการโล่ง โปร่ง เบา ว่าง สลับกับการรู้การคิดนึก ปรุงแต่ง ทางใจ หรือ การกระทบอารมณ์ทางทวารอื่นหรือเห็นสังขารต่าง ๆ เกิดดับสลับกับรู้เห็นอาการโล่ง โปร่ง เบา ว่าง ซึ่งทำให้ปัญญารู้ชัดถึงความต่างของสังขารคิดปรุง ปรุงคิด กับ อาการโล่งโปร่งเบา แยกกัน ชัดเจนเท่านั้น เพราะจิตที่รู้อาการโล่งโปร่งเบาก็ไม่เที่ยง แว็บเดียวก็เปลี่ยนไปรู้สังขารอื่นแล้ว ต่างก็เกิดดับอยู่ในใจที่แค่รู้ อย่างนี้รู้ถูกไหมคะ คือ เพียงอาศัยเวทนาโล่งเบาว่างเป็นเพียงวิหารธรรม เพื่อเห็นสังขารอื่น ๆ เกิดดับ ขณะเดียวกันเมื่อมีอาการโล่ง เบาว่างปรากฏสลับให้รู้ก็แค่รู้ทัน อาการก็จะดับไปพร้อมรู้นั้น
ขอหลวงตาเมตตาแนะนำโยมด้วยค่ะ กราบขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ
หลวงตา : การที่ขาดสติ แล้วหลงคิดปรุงแต่งเพลินใจติดไปกับสิ่งต่าง ๆ เมื่อมีสติรู้เท่าทัน แล้วมาจับยึดความรู้สึกว่าง โล่ง โปร่ง เบา สบาย ซึ่งเป็นเวทนาขันธ์ เป็นธรรมารมณ์ เป็นอายตนะภายนอก และเป็น “สังขาร” ไว้
แล้วสติก็ขาดอีก มีสติรู้เท่าทัน แล้วมาจับยึดความรู้สึกว่าง โล่ง โปร่ง เบา สบายอีก อย่างนี้เรื่อยไป เป็นการปฏิบัติผิด เพราะมีตัวตนของเรายืนพื้นไว้ในความรู้สึกที่ปรุงแต่งไว้ตลอดเวลา มันเป็น “อวิชชา” และหลงมีตัวตนของเรายึดถืออาการของเวทนาด้วย
ส่วนที่ยึดถือเอาอาการโล่ง โปร่ง เบา สบาย และว่าง เป็นวิหารธรรมเพื่อดูสังขารที่เปลี่ยนแปลง เกิดดับ ๆ นั้น ก็เป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้องเช่นเดียวกัน
เพราะอาการที่โล่ง โปร่ง เบา สบาย ว่างนั้นเป็น “สังขาร” อย่างหนึ่งเหมือนกัน ดังนั้นจึงยังเป็นการหลงวนเวียนอยู่ในสังขารนั่นเอง คือเอาสังขารโล่ง โปร่ง เบา สบาย ว่าง ไปดูสังขารต่าง ๆ ที่เกิดดับ ๆ เปลี่ยนแปลง
ความจริงนั้น “ธาตุรู้” หรือ “วิสังขาร” คือความไม่มีอะไร ไม่มีรูปร่าง ไม่มีอะไรปรากฏ มีคุณสมบัติเหมือนความว่างเปล่าในธรรมชาติทุกประการ
แต่มีข้อแตกต่างจากความว่างในธรรมชาติคือ “ธาตุรู้” มีหน้าที่รู้เพียงอย่างเดียวเท่านั้นว่า… ทุกสิ่ง ทุกอาการ ทุกความคิดที่มีการเปลี่ยนแปลงได้ กระดุกกระดิกได้ เคลื่อนไหวได้นั้น เกิดดับได้ ไม่ใช่มัน
ดังนั้นที่โยมบอกว่าความว่าง โล่ง โปร่ง เบา สบายที่เอามาเป็นวิหารธรรมนั้นไม่คงที่ เปลี่ยนแปลงได้ เกิด ดับได้ จึงเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่ามันก็คือ “สังขาร” ไม่ใช่ “ธาตุรู้”
การจะพ้นทุกข์ พ้นจากสังขาร พ้นจากความยึดถือสังขารได้ คือต้องเห็นว่า สังขารทั้งหมด ที่ปรุงแต่งให้มีการเกิดขึ้นมาจากความไม่มีอย่างนั้นตั้งแต่แรก แล้วมีขึ้นมา สิ่งทั้งหมดนั้น ย่อมดับไปสู่ความไม่มี
รวมทั้งขันธ์ห้า หรือ ร่างกาย และจิตปรุงแต่งทุกอาการปัจจุบันขณะ เช่น ความคิด นึก ตรึกตรอง ปรุงแต่งที่เกิดขึ้นมาเป็น “สังขารปรุงแต่ง” ที่ล้วนเกิดเองตามเหตุปัจจัยปรุงแต่ง แล้วดับเองเมื่อสิ้นเหตุปัจจัย มันเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติธรรมดา ซึ่งเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ใช่เรา ตัวเรา หรือ ของเรา
และสังขารปรุงแต่งเหล่านี้ก็เกิดดับอยู่ใน “วิสังขาร“ ที่ไม่ปรากฏพฤติแห่งจิต หรือไม่ปรากฏปฏิกริยาหรืออาการอะไรเลย ไม่มีตัวตน ไม่มีรูปร่าง ไม่มีความปรุงแต่งใดเลย มันเป็นธรรมชาติที่มีความรู้ได้เอง โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยขันธ์ห้า หรือไม่ต้องอาศัยเราหรือใครไปคอยบอกหรือคอยจัดการให้
และมันไม่ใช่ความว่าง !!!
เพราะความว่าง เป็น สังขาร ไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลง เกิดดับได้
เพียรสังเกตให้รู้เห็นธรรมชาติของสังขาร เกิดดับในวิสังขาร
เมื่อสังเกตจนรู้เห็นด้วยใจ หรือ รู้เห็นด้วยตา จนถึงใจแล้วว่า สังขาร เกิดดับ ในวิสังขารที่ไม่มีอะไรปรากฏ แล้วปล่อยวางสังขารทั้งหมด ก็จะเป็น “ใจ” ที่ไม่สังขาร ซึ่งเป็นธาตุรู้ มีความรู้โดยธรรมชาติของเขาเองว่า เขาคือสิ่งที่ไม่ปรากฏอะไรเลย ส่วนที่ปรากฏอะไรทั้งหมด ไม่ใช่เขา
“พบใจ พบธรรม
ถึงใจ (เป็นใจ) ถึงนิพพาน”
เพราะเมื่อเป็น “ใจ” ที่ไม่สังขาร หรือ เป็น วิสังขารเสียแล้ว จึงไม่อาจคิด หรือ ปรุงแต่งว่าเป็นเรา ตัวเรา หรือ ของเรา แล้วไปยึดถือสิ่งใด ให้เป็น อวิชชา ตัณหา อุปาทาน ซึ่งเป็นกิเลส ให้เกิดภพ ชาติและความทุกข์อีกต่อไป หรือ พ้นทุกข์ เรียกว่า นิพพาน
มีผู้ปฏิบัติธรรมหลาย ๆๆๆ... ท่าน มีความเข้าใจผิดเหมือนกับโยมที่ถามมานี้ จึงตอบยาว เพราะจะเป็นประโยชน์แก่ท่านอื่น ๆ
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
โอวาทธรรมจากปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2561