การบ้านคุณไม่พักไม่เพียร วันที่ 31 พ.ค.2563 เรื่อง "พบธาตุรู้แท้"
โยม : กราบนมัสการครับ หลวงตาครับ ได้ฟังไฟล์ “รู้จักธาตุรู้และรู้จิตที่คิด”
เมื่อเช้ากำลังล้างชาม โดยไม่ได้พยายามทำอะไร ๆ อยู่ๆก็มีความรู้ที่ไม่มีต้นสายปลายเหตุโพล่งขึ้นมาเอง ว่า
“ธรรมชาติเขารู้ตัวเขาเอง ธรรมชาติเขาเป็นของเขาเอง ไม่เคยมีเราไปรู้ธรรมชาติได้”
แล้วรู้ขนลุกเอง และรู้เห็นความรู้สึกทุกขเวทนาที่ร่างกายที่กำลังเจ็บป่วยอ่อนเพลียไร้เรี่ยวแรงมาก ๆ หายไปเอง... รู้เงียบรู้ไม่มาไม่ไป ไม่บอกว่ารู้
เหมือนเส้นเชือกตึง ๆ ขาดออกจากกัน เห็นอะไรก็เหมือนเห็นกลางอวกาศ ได้ยินเสียงก็เหมือนได้ยินกลางอวกาศ ขณะเดี๋ยวนี้ก็เป็นเช่นนั้นครับ
ไม่ทุกข์ขณะที่ร่างกายเจ็บป่วย ที่เมื่อก่อนที่จะรู้และเข้าใจโพล่งมาเอง ยังมีความรู้สึกเป็นทุกข์กับร่างกายมาก ๆ ครับ
กราบ กราบ กราบ
หลวงตา : สาธุ มันเป็นเช่นนั้น เป็นธรรมชาติที่เป็นเอง
โยม : ถ้าไม่เป็นเช่นนี้ มันเป็นแต่หลงเป็นตัวเราไปรู้ โดยไม่รู้เห็นว่าเป็นเลยครับหลวงตา ทุกข์เพราะหลงมีตัวเรารู้
หลวงตา : ใช่แล้ว
โยม : กราบในพระเมตตาครับ
อาการที่จะรอฟังไฟล์หลวงตาอย่างก่อนเพื่อเป็นแฟนพันธุ์แท้ และกัดติดจดจ่อเพื่อตัวเรา รู้หายสงสัยหมดไป แต่ก็ฟังครับ
กราบ กราบ กราบ
~~~~~~~~~~~~~~~
การบ้านคุณไม่พักไม่เพียร วันที่ 3 มิ.ย.2563 เรื่อง "รู้ของธาตุรู้บริสุทธิ์"
โยม : กราบนมัสการครับ
หลวงตาครับ กราบขอขมานุญาต ส่งไฟล์เสียงนี้ต่อหลวงตาครับ
กราบ กราบ กราบในพระเมตตาธรรมเหนือเศียรเกล้าครับ
หลวงตา : สาธุ... ให้อโหสิกรรมทั้งหมด
(ข้อความในไฟล์เสียงที่โยมส่งการบ้าน จากไฟล์เสียง 200603B1 แจ้งสัจธรรม ถอดออกมาเป็นตัวอักษรด้านล่างนี้)
กราบนมัสการครับ หลวงตาครับ กราบขอโอกาสครับ
หลังจากวันนั้นที่ได้เคยส่งการบ้านหลวงตาไปว่า เป็นเมื่อเช้าที่ล้างชามอยู่ แล้วธรรมชาติเขาก็เป็นเองนะครับ
หลังจากนั้นมา เมื่อเช้านี้ก็มีความรู้ออกมาเองจากใจว่า.. สิ่งที่เราติดอยู่ทั้งหมด ที่ได้ฟังพระธรรมที่หลวงตาแสดงนะครับ
จริง ๆ แล้วถ้าหากไม่เป็นธรรมชาติที่เค้าเปิดเผยตัวเอง ในชั่วขณะจิตไม่กี่วินาทีเหมือนเช้าวันนั้นที่ผมล้างชามอยู่ แล้วไม่ได้พยายามทำอะไร แล้วธรรมชาติเขาก็เป็นเอง นั่นเป็นการพบ “ธรรมแท้” พบ “ธาตุรู้แท้” ที่เรียกว่า “ใจบริสุทธิ์” หรือ “ธาตุรู้บริสุทธิ์ดั้งเดิม” เป็นครั้งแรกในชีวิต และครั้งเดียวก็เกินพอครับหลวงตา
ที่ว่าความรู้ คือความเข้าใจที่แท้จริง ที่ได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่านพระธรรมคำสอนจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้า และได้ยินได้ฟังพระสัทธรรมจากพ่อแม่ครูอาจารย์องค์หลวงตา จึงเข้าใจความหมายอย่างแท้จริง ด้วย “รู้ของธาตุรู้บริสุทธิ์” นี้เอง ไม่ใช่รู้ด้วยการคิดนึกปรุงแต่งที่มี “ตัวเรา” อยู่เบื้องหลังความคิดปรุงแต่งที่รู้นั้น
ตัวเราเป็นผู้รู้นั้นไม่สามารถจะรู้ความหมายคำสอนจากพระโอษฐ์ คำสอนจากพ่อแม่ครูอาจารย์องค์หลวงตาได้เลยครับ
อย่างเช่นเมื่อเช้านี้เป็นความรู้ออกมาว่า...
“โมฆราช...เธอจงมองโลกเป็นของที่ว่างเปล่า”
เมื่อก่อนความหมายนี้คือความหมายจากความคิดตัวเราเข้าใจ แต่คำว่า “จงมองโลกอย่างว่างเปล่า” ที่รู้ด้วยธาตุรู้บริสุทธิ์นี้ต่างหากที่ว่างเปล่า ไม่ใช่ไปคิดเอาว่าโลกว่างเปล่า จริง ๆ แล้ว ธาตุรู้เขารู้อย่างว่างเปล่าครับหลวงตา
ตาที่เห็นรูป รู้ที่ว่างเปล่าคือธาตุรู้บริสุทธิ์ที่พบแล้วเพียงชั่วขณะจิต ไม่กี่วินาทีนั้นน่ะ ที่เขารู้โลกอย่างว่างเปล่า โลกนี้ก็คือ โลกแห่งตาเห็นรูป ก็เห็น ก็ “รู้อย่างไม่ยึดถือ” รู้นี้ไม่เคยปรากฏอะไรเลย เป็นรู้อย่างว่างเปล่า...
ตรงนี้ต่างหากครับที่รู้ความจริงแห่ง โมฆราช...เธอจงมองโลกให้เป็นของว่างเปล่า ให้เห็นเป็นของว่างเปล่า คิดเอาไม่ได้ครับ
ความหมายที่เราไปตีจากการฟัง ที่องค์หลวงตาเพียรชี้สอน เราตีความหมายด้วยความคิดจากตัวเราไม่ได้ แต่ความรู้ว่ามองโลกอย่างว่างเปล่า นี่คือธาตรู้เขารู้ทุกสิ่งทุกอย่าง... อย่างไม่ยึดถือ จึงเป็น “รู้อย่างว่างเปล่า” ต่างหากครับ
เพราะฉะนั้น ตาดู เห็นรูปก็เห็น รู้อย่างว่างเปล่าของธาตุรู้ หูได้ยินเสียง ก็ได้ยินเสียงอย่างว่างเปล่าที่เป็นธาตุรู้เขารู้อย่างว่างเปล่า จมูกได้กลิ่น ก็รู้อย่างว่างเปล่า ลิ้นรับรส ก็รู้อย่างว่างเปล่า กายกระทบสัมผัส ทุกอิริยาบถขยับเคลื่อนไหวกิ๊กหนึ่ง สติอัตโนมัติ
คำว่า “สติอัตโนมัติ” ก็ไม่เคยรู้จักตัวสติอัตโนมัติที่แท้จริง เพราะสติอัตโนมัติเนี่ยรู้ทุกสิ่งที่อย่างที่กายเคลื่อนไหวกิ๊กเดียว ความคิดนึกปรุงแต่ง เขาจะรู้อย่างว่างเปล่าทันทีเลย
เพราะฉะนั้น สติก็ยังไม่รู้จักกันจริง ๆ เลยครับ ถ้าไม่พบธรรมแท้ ไม่พบธาตุรู้ ไม่ถึงธรรมแห่งการบรรลุธรรมชาติของเค้าเอง
“ธรรมชาติเขาบรรลุธรรมชาติของเขาเอง” ไม่ใช่เราบรรลุธรรมครับ
ในชั่วขณะไม่กี่วินาทีนี้เองครับ ความรู้ทั้งหลายก็ออกมาอย่างนี้ ใจคิดนึกปรุงแต่งรู้สึก ธาตุรู้เขาก็รู้อย่างว่างเปล่า ต่อไปไม่กลัวแล้วครับว่าจะพูดว่า “รู้อย่างว่างเปล่า” อย่างไร แต่ถ้าไม่เข้าใจ ไม่ถึงธาตุรู้ อมตธรรม อมตธาตุนี้ ในชั่ววินาทีเดียวแห่ง “ธรรมบรรลุธรรมของเขาเอง” เนี่ยแหละครับ จะไม่เข้าใจเลยว่า.. โลกว่างเปล่าอย่างไร... รู้อย่างว่างเปล่าอย่างไร
เพราะถ้าไปพูด “รู้อย่างว่างเปล่า” มันกลายเป็นตัวเรารู้อย่างว่างเปล่า
ทั้งหมดทั้งสิ้น ความรู้ทั้งหมดทั้งสิ้น ความหมายถ้าเราฟัง ได้ยิน ได้อ่านพระสัทธรรมจากพระโอษฐ์ หรือจากพ่อแม่ครูอาจารย์องค์หลวงตากำลังสอน ถ้าเป็นรู้ของธาตรู้บริสุทธิ์ เค้าจะเข้าใจทันที เข้าใจตามองค์หลวงตาพูดทันที
ถ้าหากไม่บรรลุธรรมชาติของเค้าบรรลุธรรมอย่างเนี้ย จะไม่มีทางรู้เลยครับ มันจะเป็นตัวเรารู้หมด พ้นทุกข์ไม่ได้
กราบนมัสการส่งเรียนความรู้ที่มันเกิดขึ้นมาเองจากใจที่ไหลเทออกมา กราบองค์หลวงตา มาพูดให้ฟังครับ พูดไม่ค่อยถูก ต้องอะไรเท่าไหร่ก็กราบขอขมากรรมด้วยครับหลวงตา
กราบครับ กราบด้วยพระเมตตา พระกรุณาธิคุณที่องค์หลวงตาเพียรส่งไฟล์ ในขณะที่ร่างกายอายุหกสิบแล้ว ก็ทันการที่ได้พบธรรมแท้ ด้วยพระศรัทธาจากใจทำลายอวิชชาและอัตตาทันเวลาครับหลวงตา
กราบครับ กราบครับ กราบครับหลวงตา
ปกิณกธรรมลูกศิษย์องค์หลวงตา (คุณไม่พักไม่เพียร)
บันทึกไว้ใต้ร่มขีณาลโย
วันที่ 3 มิถุนายน 2563
ฟังไฟล์เสียงจากยูทูป
200603B1 แจ้งสัจธรรม
https://youtu.be/QeaCbaEVA28