เราไม่ต้องไปช่วย "ใจ" เพราะใจเป็นความว่างที่ไม่อาจปรุงแต่งไปยึดติดยึดถืออะไรได้
ปัญหาความไม่พ้นทุกข์จึงไม่ได้อยู่ที่ใจ
#แต่อยู่ที่เรายังไม่เลิกพยายามที่จะช่วยใจให้ไม่ทุกข์
ให้มีความสุข ความสงบ ความว่าง บรรลุนิพพาน
เราจึงไม่หยุดคิดหยุดปรุงแต่งเสียที
เมื่อ "หยุด "ช่วยใจเมื่อใดก็พบใจว่าง ใจสงบ เป็นวิมุตติโดยอัตโนมัติทันที
เราไปช่วยใจไม่ได้ ถ้าไปช่วยจะมีตัวเราเข้าไปยุ่งกับใจ
ก็จะหลงไปเป็นจิตปรุงแต่ง
ไม่ต้องช่วยใจไม่ให้ยึดเพราะใจยึดอะไรไม่ได้เนื่องจากเป็นความว่าง
แต่เราพยายามไปช่วยใจ ให้สะอาด บริสุทธิ์ ว่าง ๆ นิ่ง ๆ เฉย ๆ
ให้เป็นอย่างที่อยากให้เป็น ถ้าใจพูดได้ มันคงจะพูดว่า
"มึงอย่าช่วยกูได้ไหม มึงนะตัวยุ่งที่สุด ไอ้จิตปรุงแต่ง
มึงจะช่วยกูอย่างเดียว จะช่วยให้กูว่าง ช่วยให้กูเบา ช่วยให้กูสบาย ช่วยให้กูสงบ ช่วยกูตลอดเลย
มึงเลิกยุ่งกะกูแค่นั้น กูจบ กูก็คือกู กูพูดไม่ได้ บ่นไม่ได้ มีกิริยาอาการใดๆ ก็ไม่ได้ ไม่มีอะไรเลยสักอย่างเดียว"
เมื่อไม่หลงปรุงแต่ง ก็จะเป็นใจที่ไม่ปรุงแต่งหรือวิมุตติ
ให้จบลงที่ใจในปัจจุบันนี้ วางทุกอย่าง ไม่มีอดีตไม่มีอนาคต
แม้ปัจจุบันก็ไม่รักษาอะไร
ในความไม่ปรุงแต่งมีความปรุงแต่ง มีการกระเพื่อมของขันธ์ตลอดเวลา ส่วนปรุงแต่งหรือสมมุติก็ใช้ไป แต่ไม่มีใครไปรองรับ ไม่มีใครไปยึดถือความปรุงแต่งนั้น
เรียกว่า สิ้นผู้เสวย สิ้นผู้ยึดมั่นถือมั่น กลายเป็นใจที่สงบ
ว่างเปล่า มีแต่ความสงบร่มเย็น เป็นความสุขที่ไม่ทุกข์
ไม่ใช่สุขเพราะไปจับอารมณ์สุข
ดังคำที่ว่า "นิพพานังปรมังสุญญัง นิพพานังปรมังสุขัง"
นิพพานเป็นความว่าง ความสุขอย่างยิ่งที่เหนือสุขเหนือทุกข์
ส่วนขันธ์ ๕ ก็ยังมีสุข ทุกข์ไปตามเหตุปัจจัยที่มากระทบ
และความเสื่อมของขันธ์ ๕ เอง
และยังมีการทำงานอยู่ก็ใช้ไปเต็มกำลังความสามารถ
เกื้อกูลโลกจนกว่าสังขารจะแตกดับไปจากโลก ก็จบสนิท ....
#สิ้นโลกเหลือธรรม (ใจว่าง) สิ้นยึดทั้งโลกทั้งธรรม นิพพาน"
********
หลวงตาณรงศักดิ์ ขีณาลโย
ส่วนหนึ่งจากหนังสือ "จบซะที"
#สมมุติในวิมุตติ