โยม 1 : เป็นครั้งแรกที่หนูรู้สึกลงใจว่าแท้จริงทุกอย่างมันถูกปรุงมาจากอนุสัยนี่เองเจ้าค่ะ อนุสัยเป็นอย่างไรก็ปรุงไปแบบนั้น มันเป็นเช่นนั้นเองเจ้าค่ะ
ยอมรับเจ้าค่ะ... ยอมรับว่า มันเป็นธรรมชาติที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ มันมาจากกรรมเก่า ถ้าปล่อยมันเหมือนคลื่นซัดฝั่ง ก็ไม่มีอะไร ไม่มีใครไปยืนขวางคลื่นมันก็... เป็นธรรมชาติเช่นนั้นเอง
กราบ กราบ กราบ
หลวงตา : ความคิดปรุงแต่งเป็นนาม เป็นคลื่นพลังงาน (Wave หรือ Vibration) ซึ่งปรุงแต่ง กระเพื่อม ไหวตัวขึ้นมาจากความไม่มีอะไร แล้วสร้างเป็นรูปจิต รูปกายขึ้นมา แล้วแต่จะมโนเอา แล้วปรุงแต่งยึดคลื่นพลังงานที่สร้างเป็นรูปจิตและรูปกายนั้น ว่าเป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นของเรา
ถ้าพิจารณาให้ดี จะเห็นความจริงได้ว่า
“จิต (ที่ถูกยึดได้)” ไม่มีอยู่จริง
“ตัวเรา” ผู้ยึดจิตก็ไม่มีอยู่จริง
“อวิชชา” ความไม่รู้ ความโง่เขลา ที่หลงยึดคลื่นพลังงานเป็นตัวจิตตัวใจ เป็นตัวเรา ก็ไม่มีอยู่จริง
เพราะ “สัจธรรม” ความแท้จริง
จิต (ที่มีรูปลักษณ์ให้ถูกยึดถือได้)
กาย (รูปตัวเราในจิต) และ อวิชชา
คือ ความหลงคิด หลงปรุงแต่ง หลงยึด ล้วนไม่มีอยู่จริง มันเป็นเพียงคลื่นพลังงานที่ปรุงแต่งรูปจิต รูปกายในจิต ขึ้นมาจากความไม่มีอะไรแล้วหลงยึดคลื่นพลังงานที่มันปรุงแต่งสร้างขึ้นมาเสียเอง
กล่าวได้ว่า.....
มีจิต มีอวิชชา มีตัวเรา
ไม่มีจิต ไม่มีตัวเรา ไม่มีอวิชชา
จึงไม่มีอะไรเลย ที่เป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นของเรา
แต่โยมมีความหลง (อวิชชา) โดยไม่รู้ตัว คือ เอาคลื่นพลังงานที่ปรุงแต่งขึ้นมาจากความไม่มีอะไรคิดปรุงแต่งยึดคลื่นพลังงานนั้นเป็นตัวเรา เป็นจิตของเรา ที่ต้องคอยสงวนรักษาไม่ให้มันกระเพื่อม ไม่ให้มีกิเลส ไม่ให้มีความทุกข์ ให้มันสะอาด บริสุทธิ์ เป็นความไม่มีอะไร เป็นความว่าง เป็นนิพพาน
จึงบังคับจิตใจตัวเองให้ยอมรับทุกปัจจุบันขณะตามความเป็นจริงตามที่เขียนส่งการบ้านมาว่า
“ยอมรับว่ามันเป็นธรรมชาติที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ มันมาจากกรรมเก่า ถ้าปล่อยมันเหมือนคลื่นซัดฝั่ง ก็ไม่มีอะไร ไม่มีใครไปยืนขวางคลื่นมันก็เป็นธรรมชาติ เช่นนั้นเอง”
ซึ่งเบื้องหลังลึก ๆ จากใจ มีความหลงยึดถือจิตเป็นตัวเรา เป็นของเราไว้ในใจ อยากให้ใจยอมรับตามความเป็นจริง แล้วตัวเรา หรือ ใจของเราจะได้พ้นทุกข์ นิพพาน
“จิต” ที่ถูกยึดถือก็เป็นความปรุงแต่ง (สังขาร) ซึ่งเป็นคลื่นพลังงานเกิดขึ้นมาจากความไม่มีอะไร
“อาการที่มีเราไปรู้จิต” ก็เป็นความปรุงแต่ง (สังขาร) เกิดขึ้นมาจากความไม่มีอะไร
“อาการคิดปรุงแต่งยึดถือจิต” เป็นตัวเรา เป็นของเรา แล้วหลงมีตัวเราไปยึดถือคนอื่น สิ่งอื่น ๆ (แท้จริงจิตไม่มีอะไรให้ใครรู้ให้ใครยึดถือได้) ก็เป็นความคิดปรุงแต่ง (สังขาร) เกิดขึ้นมาจากความไม่มีอะไร
ดังนั้น จิตที่ถูกรู้ ถูกยึดได้ ก็ไม่มีอยู่จริง
อาการคิดปรุงแต่งยึดจิตเป็นตัวเรา เป็นของเรา ก็ไม่ได้มีอยู่จริง อาการที่มีตัวเราไปรู้จิตก็ไม่มีอยู่จริง
ตัวเราที่ยึดจิต เป็นตัวเรา (อวิชชา) ก็ไม่มีอยู่จริง
เปรียบเหมือนกับว่า “ผี” มันเป็นความหลงคิดปรุงแต่งยึดถือเป็นตัวขึ้นมาจากความไม่มีอะไร แล้วมีอาการ... กลัวผี
พอตกกลางคืน “ผี” มีตัว
เวลากลางวัน "ผีไม่มีตัว"
“ผีตัวเรา” ก็ไม่ได้มีตัวตนอยู่จริง แต่คิดปรุงแต่ง
มีดวงจิตขึ้นมาจากความไม่มีอะไร แล้วยึดจิตเป็นตัวเราจึงมีความรู้สึกมีตัวเรา จิตของเราขึ้นมา
~~~~~~~~~~~~~~~
ปรารภเหตุโอวาทธรรมจากหนังสือจบซะที เรื่อง "จบที่ใจในปัจจุบัน" (อ่านรายละเอียดโดยคลิกที่ลิงก์จากเว็บไซต์ทางการด้านล่างนี้)
http://www.luangtanarongsak.org/home/index.php/2017-10-14-13-20-39/2019-07-24-04-35-26/item/3792-pkd-14
~~~~~~~~~~~~~~~
โยมส่งการบ้านหลังจากได้อ่านโอวาทธรรม
~~~~~~~~~~~~~~~
โยม 2 : กราบหลวงตาเจ้าค่ะ
หนูรู้เจ้าค่ะว่า ยังมี “มึง” ที่ชอบไปช่วย “กู” อยู่เจ้าค่ะ มันเหมือนไม่ได้อยากเข้าไปช่วย แต่เป็นการตามไปดูไปพิจารณา ซึ่งก็ยังเป็น "มึง" อยู่ ที่อยากพ้นทุกข์ มันหยุดไม่ได้เสียทีเจ้าค่ะ หลวงตาช่วยด้วยเจ้าค่ะ??
หลวงตา : บังคับให้มันหยุดปรุงแต่งเพื่อให้กูพ้นทุกข์ (นิพพาน) ไม่ได้ เพราะมันเป็นสังขาร เป็นคลื่นพลังงาน ซึ่งเป็น Wave เป็น Vibration มันเป็นอนัตตา ไม่อยู่ในบังคับของเรา มันไม่ใช่เป็นตัวเรา เป็นของเรา จึงจะบังคับมันได้
ก็คงปล่อยให้มันเกิดเอง ดับเอง... เกิดเอง ดับเอง........ เป็นไปตามธรรมชาติปกติธรรมดาของสังขารปรุงแต่ง
เมื่อมันเป็นสิ่งเกิดดับมันจึงไม่ใช่ตัวเรา ของเรา ไม่มีตัวเรา (กู) ตัวเขา (มึง) หรือ สัตว์ บุคคล เรา เขา ที่เป็น ตัวตนคงที่เป็นรูปร่าง เป็นก้อน เป็นแก่นที่เที่ยงแท้อยู่จริง ๆ
มีแต่ความโง่เขลา (อวิชชา) ที่หลงยึดเอาความปรุงแต่ง (สังขาร) ที่ปรุงแต่งเป็นนามรูปสมมติขึ้นมาจาก ความว่าง หรือ ความไม่มีอะไร หรือ จากไม่มีอะไร เป็นปรุงแต่งเป็นความมีขึ้นมา เป็นสัตว์ บุคคล เรา เขา หญิง ชาย ภรรยา สามี ลูก หลาน พ่อ แม่ พี่ น้อง.....
โดยปรุงแต่งสร้าง “จิต” หรือ “ใจ” เป็นรูปนามสมมติขึ้นมาก่อน
แต่สัจธรรมความจริงแท้นั้น จิต หรือ ใจ ซึ่งเป็น “ธาตุรู้” ที่แท้จริงตามธรรมชาติ ไม่มีอะไรปรากฏเลย ไม่ปรุงแต่ง ไม่เกิดดับ ไม่มีรูปลักษณ์ใดเลย เป็นสุญญตา เป็นวิสังขาร อสังขตธาตุ อสังขตธรรม
เพราะ “อวิชชา” คือ ความไม่รู้สัจธรรมความจริงของธรรมชาติว่า สิ่งปรุงแต่ง (สังขาร) ทั้งหมด ทั้งคลื่นพลังงาน Wave หรือ Vibration แสง สี หรือ ทุกสรรพสิ่งเกิดขึ้น หรือ มีเหตุปัจจัยปรุงแต่งขึ้นมาจากความไม่มี แล้วมีขึ้น มีการกระเพื่อมไหวตัว เคลื่อนไหว ปรากฏขึ้นมาจากความไม่มี เรียกว่า “สังขาร” เป็นสิ่งปรุงแต่งเกิดขึ้นมาแล้ว ก็ดับกลับคืนไปสู่ความไม่มีเป็นธรรมดา
แม้ “อวิชชา” ซึ่งเป็นความไม่รู้ ความโง่เขลา ความหลงยึดถือสังขาร หรือ วิสังขาร เป็นตัวเรา เป็นของเรา ก็เป็นสังขารปรุงแต่งยึดถือ ที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับความปรุงแต่งจิตมีรูป แล้วยึดจิตเป็นเรา เป็นของเรา
ดังนั้น เมื่อมีจิต ก็มีอวิชชา มีตัวเรา... เกิดขึ้นพร้อมกัน
เมื่อหายโง่ (สิ้นอวิชชา) ก็ไม่มีจิต ไม่มีตัวเรา
“อวิชชา” เป็นสังขารปรุงแต่งที่มีการเกิดขึ้น จึงดับไปได้ โดยดับไปพร้อมกับความรู้แจ้งสัจธรรม ความจริงแท้ว่า “จิตหรือใจ” ซึ่งเป็นวิญญาณธาตุ (ธาตุรู้) ตามธรรมชาตินั้น เป็น “วิสังขาร” อสังขตธาตุ อสังขตธรรม สุญญตา ไม่มีรูปลักษณ์ ไม่มีอะไรปรากฏ ไม่ปรุงแต่ง ไม่เกิดดับ ไม่อาจถูกทำลาย ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ไม่ใช่เป็นของเรา และ ไม่ใช่เป็นตัวเรา
***** หมายเหตุ :
ผู้ปฏิบัติธรรมส่วนใหญ่มี “อวิชชา” อยู่โดยไม่รู้ตัว คือ หลงพยายามไม่ยึดสังขาร หรือ พยายามปล่อยวางสังขาร เพื่อให้ตัวเราเป็นหนึ่งเดียวกับความว่าง โดยปักธงความว่างเป็นเป้าหมาย แล้วพยายามดิ้นรนทะยานอยากให้ตัวเราไปถึง ไปได้ ไปเป็น ไปบรรลุถึงความว่างนั้นได้
ส่วน “สังขาร” หรือ สิ่งปรุงแต่งทั้งหมดไม่ว่าจะมีชีวิต หรือ ไม่มีชีวิต ล้วนปรุงแต่งขึ้นมา หรือ เกิดขึ้นมาจาก ความไม่มีอะไร (วิสังขาร)
แล้วปรากฏเป็นคลื่นพลังงานในลักษณะต่าง ๆ กันขึ้นมา เช่น เป็นคลื่น (Wave หรือ vibration) แสง สี เป็นต้น
แล้วคลื่นพลังงานนั้นปรุงแต่งจิต หรือ ใจ เป็นรูปสมมติที่ไม่อาจสัมผัสได้ขึ้นมาในความว่าง หรือ ความไม่มีอะไร พร้อมกับเกิดความหลง (อวิชชา) ยึดเอารูปสมมติของจิต หรือ ใจนั้น เป็นตัวเรา เป็นของเรา
แล้วเกิดเป็นตัวเรารูปนามที่เป็นกายโปร่งแสงสมมติขึ้นมา ซึ่งมีรูปนามสมมติที่มีลักษณะต่าง ๆ กันตามภพภูมิ หรือ ความปรุงแต่งยึดถือไว้ภายในใจ
จากรูปนามที่เป็นกายโปร่งแสงก็เป็นรูปนามหยาบ เช่น ขันธ์ห้าของคน และ สัตว์ ซึ่งเป็นรูปนามสมมติเกิดขึ้นแล้ว หรือ ปรุงแต่งขึ้นมาแล้วก็ดับไป หรือ แก่ เจ็บ ตายไปเป็นธรรมดา
ความจริงสังขารทั้งหมดทั้งที่มีชีวิต และ ไม่มีชีวิต ล้วนเป็นคลื่นพลังงานที่ปรุงแต่งขึ้นมาจากความว่าง
ไม่มี... เป็นมี
จากไม่มี ก็มีการปรุงแต่งเป็นรูปสมมติของจิต จากรูปของจิตก็ปรุงแต่งเป็นรูปนามโปร่งแสง เรียกว่า รูปนามทิพย์ จากรูปนามโปร่งแสงก็เป็นรูปนามหยาบ เช่น รูปนามซึ่งเป็นขันธ์ห้าของมนุษย์ และ สัตว์เดรัจฉาน
***** ทั้งนาม และ รูปเป็นสิ่งปรุงแต่ง (สังขาร) ขึ้นมาจากความไม่มีอะไร ก็ต้องเสื่อม หรือ แก่ เจ็บ ตาย (สังขารดับ) กลับคืนไปสู่ความไม่มีอะไรตามเดิม
เมื่อรูปนามสมมติหยาบ (ขันธ์ห้า) แตกดับ (ตาย) แต่ถ้า “อวิชชา” ความไม่รู้ยังมีอยู่ จิต (ที่ถูกยึดได้) และ ตัวเรา ก็ยังมีอยู่ โดยจะมีรูปนามทิพย์ลอยออกจากร่างที่ตาย ถูกเขาพาไปรับกรรมเวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่าง ๆ ให้เป็นทุกข์อีกต่อไป
จนกว่าจะรู้แจ้งในสัจธรรม ความจริงแท้ของ “สังขาร” และ “วิสังขาร” ว่าไม่มีตัวเราในสังขาร และ วิสังขารเลยแม้เพียงน้อยหนึ่ง นิดหนึ่ง ปรมาณูหนึ่ง
แล้วความไม่รู้ ความโง่เขลา ความมืดบอด ซึ่งเป็น “อวิชชา” ก็จะหมดสิ้นไป
ดังนั้น “อวิชชา” ไม่สามารถดับไปด้วยการใช้กำลัง ใช้ความพยายามดิ้นรนทะยานอยาก แต่เพราะมีสติ สมาธิ ปัญญา ศรัทธา ความเพียร น้อมนำเอาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่ออกมาจากพระทัยอันบริสุทธิ์ จากจิตหนึ่ง สู่จิตหนึ่ง มาพิจารณาจนรู้แจ้งขึ้นที่ใจ (เกิดวิชชา) แล้วความไม่รู้ ความโง่เขลา ความมืดบอด ซึ่งเป็นอวิชชาก็ดับไป
เหมือนกับว่าเมื่อมีแสงสว่างเกิดขึ้นที่ใจ ความมืดก็หายไป
***** แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ไม่อาจจะช่วยดับอวิชชาในใจของใครได้ เพียงแต่ถ่ายทอดพระสัจธรรมออกจากพระทัยอันบริสุทธิ์ ให้น้อมนำไปพิจารณาตามจนมีความรู้แจ้ง (เกิดวิชชา) ขึ้นที่ใจ แล้วอวิชชา คือ ความไม่รู้ ความโง่เขลา ความมืดบอดก็ดับไปเอง ได้ชื่อว่า "เป็นผู้ตรัสรู้ตาม"
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
โอวาทธรรมจากปุจฉาวิสัชนา
28 เมษายน 2563
~~~~~~~~~~~~~~~
แนะนำฟังไฟล์เสียงจากยูทูปเพิ่มความถึงใจ :
200424A2 รู้ทันทิฐิมานะ ภาค2
https://youtu.be/M48Xv7paadE
200424A1 ไม่มีจิต ไม่มีอวิชชา
https://youtu.be/jhQh5uFQShg
200425A1-1 จับผู้บงการที่ไม่เปิดเผยตัวตน ตอนที่ 1
https://youtu.be/Lbj2UB-0EC4
200425A1-2 จับผู้บงการที่ไม่เปิดเผยตัวตน ตอนที่ 2
https://youtu.be/PX8aR-zE3ds
วีดีโอสื่อธรรมจากยูทูปเพื่อเสริมความถึงใจ :
~~~~~~~~~~~~~~~