โยม 1 : กราบหลวงตาเจ้าค่ะ
ทุกวิกฤติมีโอกาสนะเจ้าคะ ทำให้เห็นอะไรหลาย ๆ อย่างเลยเจ้าค่ะหลวงตา
อย่างแรกคือ หนูเคยคิดว่าถ้าเกิดภัยพิบัติร้ายแรงจริง ๆ หนูอยากจะไปอยู่ใกล้ ๆ หลวงตา ไปขอพึ่งบารมีหลวงตา แต่เมื่อเกิดจริง ๆ แบบตอนนี้แล้ว ถึงแม้เราอยากไปเราก็ไปไม่ได้ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน และไม่มีเหตุบังเอิญในโลกจริง ๆ เลยใช่ไหมเจ้าคะ
และที่หนูเคยคิดว่าจะบวช จะตัดทางโลก วิกฤติครั้งนี้มันก็มาเป็นบททดสอบหนูอีกเจ้าค่ะ เวลานี้มันเหมือนกับว่า ถ้าเราไม่มีอะไรแล้วในทางโลกจะด้วยเหตุใดก็ตาม ไม่ได้ทำงาน ไม่มีงานทำ แล้วเราจะทำอย่างไรต่อไป จะบวชตอนนี้ก็บวชไม่ได้ แค่ปล่อยให้ธรรมชาติเขาเป็นไป
ทุกวิกฤตมีโอกาสจริง ๆ เลยเจ้าค่ะหลวงตา
หลวงตา : ไม่เคยอยู่ตัวคนเดียวโดยไม่ทำงาน หรือไม่มีงานจะทำ ซึ่งโดยปกติ เมื่อไม่ได้ทำงาน ก็จะมาอยู่วัดเพื่อมาอยู่ใกล้หลวงตา ได้ฟังธรรม มีงานปฏิบัติธรรมตามรูปแบบ
*** ไม่เคยได้อยู่ตัวคนเดียวเป็นเวลานานโดยไม่ได้ทำอะไรจริง ๆ
เกิดโรคไวรัส covid 19 ระบาดอย่างหนัก
*****เป็นโอกาสทอง ได้อยู่ตัวคนเดียว ไม่มีอะไรทำ จะต้องไม่หางานอะไรมาทำ ไม่เล่นโทรศัพท์มือถือ ไม่เล่นเกมส์ ไม่ดูหนัง ดูละคร ไม่ฟังเพลง ไม่ดูข่าวสาร กีฬา สารคดี...... ไม่หาหนังสือมาอ่าน ...............
*** เดิน ๆ ... นั่ง ๆ ... อย่างเดียว....... ไม่พยายามปฏิบัติธรรม ไม่พยายามฝึกจิต ดูจิตอย่างใด ๆ และไม่ปล่อยให้เพลิดเพลินคิดปรุงแต่งฟุ้งช่านไป
***** แล้วจะเห็นธรรมชาติที่แท้จริงในใจเรา ว่า
“สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา (สังขารธรรม) สิ่งทั้งหมดนั้นย่อมดับไปเป็นธรรมดา (ยัง กิญจิ สมุทะยะธัมมัง สัพพันตัง นิโรธะธัมมันติ)”
*** เกิดปัญญาวิมุตติ รู้แจ้งแบบนี้ที่ใจ ก็มีชื่อสมมติเรียกว่า “โสดาบัน”
ต่อจากนั้น จะเห็นสัจธรรม ความจริงตามธรรมชาติ ว่า
“ธรรมชาติของสิ่งเกิดดับ (สังขาร) ย่อมเกิดดับในธรรมชาติที่ไม่เกิดดับ (วิสังขาร)
ธรรมทั้งมวล (ทั้งสังขารและวิสังขาร) ไม่มีตัวตนเที่ยงแท้ ที่เป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นของเราเลยแม้เพียงน้อยหนึ่ง นิดหนึ่ง ปรมาณูหนึ่ง และไม่มีตัวตนของเราอยู่นอกสังขารและวิสังขาร ที่จะมายึดมั่นถือมั่นสังขารหรือวิสังขาร เป็นเรา เป็นตัวเรา หรือ เป็นของเราได้
เมื่อรู้แจ้งสัจธรรมความจริงอย่างนี้จนถึงใจ (ปัญญาวิมุตติ) ก็จะสิ้นหลงยึดมั่นถือมั่นว่ามีเรา มีตัวเรา มีตัวตนของเรา แล้วจะสิ้นหลงมีตัวเราไปยึดถือสิ่งใด ๆ (ทั้งสังขารและวิสังขาร) อีก
จะเป็นวิราคะธรรม หรือ มีชื่อสมมติว่า “นิพพาน”
ดังนั้น ธรรมที่ว่า....
“สัพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ (ธรรมทั้งมวล ทั้งสังขารและวิสังขาร ไม่มีผู้ยึดมั่นถือมั่น” หรือ
***** วิราคะธรรม หรือ นิพพาน เพราะสิ้นตัวตน หรือ สิ้นผู้หลงยึดมั่นถือมั่นทั้งสังขารและวิสังขาร จึงเป็นธรรมที่เหนือ หรือพ้นสังขารและวิสังขาร เพราะสิ้นตัวตนยึดมั่นถือมั่นทั้งสังขารและวิสังขาร
ดังนั้น ปฏิจจสมุปบาทในฝ่ายดับทุกข์และดับการเวียนว่ายตายเกิด จึงกล่าวว่า
“อวิชชายะ เตววะ อะเสสะวิราคะนิโรธา สังขาระนิโรโธ สังขารระนิโรธา วิญญาณะนิโรโธ.........”
(เพราะอวิชชาดับสนิทไม่เหลือ ด้วยปราศจากราคะ (วิราคะ) สังขารจึงดับ เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ.... นามรูป สฬายะตะนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ ชรา มรณะ และ ความทุกข์ทั้งมวลจึงดับพร้อม)
***** ธรรมที่เป็น “วิราคะ” คือ สิ้นหลงยึดมั่นทั้งสังขารธรรม และวิสังขารธรรม ว่าเป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นตัวตนของเรา เป็นของของเรา จึงมีความสำคัญที่สุด
~~~~~~~~~~~~~~~
โยม 2 : กราบนมัสการองค์หลวงตาเจ้าค่ะ ส่งการบ้านการอยู่เนสัชชิก 7 วัน 7 คืน
ตอนที่องค์หลวงตาพูด... ใจจะไม่เคยนึกว่าได้ ไม่ได้ ไหว ไม่ไหว แต่ทำไปเลย อยู่ไปเลย เป็นปัจจุบันขณะไป
วันที่ 5-6-7 ที่กลับมาอยู่บ้าน ช่วงกลางวันตื่นมาก ไม่เป็นเหมือนวันแรก ๆ ที่กลางวันยังมีง่วง แต่พอช่วงดึก... มันง่วงแบบนั่งสมาธิบนเก้าอี้แล้วหลับ หน้าโขกกับขาตั้งไอแพดอย่างแรง โขกแรงมาก แล้วตื่น แต่แป๊บเดียว เดี๋ยวก็หลับ โขกอีก โขกแรง มันหลับเองเลยแบบควบคุมอะไรไม่ได้เจ้าค่ะ เสียงโขกมันดังสนั่นไปหมดเลยเจ้าค่ะ
ขณะโขกหัวเราเหมือนกะลามะพร้าว ยังไงอย่างนั้นเลยเจ้าค่ะ เพราะโขกแล้วกระเด้งด้วยแรงโขก แต่เดี๋ยวหลับอีก จนรู้สึกว่านั่งต่อไม่ได้ จึงมาส่องกระจก ปรากฏไม่มีร่องรอยเลย เพียงแต่เวลากดลงไปบริเวณนั้นจะเจ็บนิด ๆ
แต่ลองนั่งใหม่ก็หลับหัวโขกใหม่ เลยเอาขาตั้งไอแพคออก หน้าก็โขกกับโต๊ะ เจ็บมากกว่าเดิม แต่แป๊บเดียว นึกว่าได้เลือด แต่ก็ไม่มีร่องรอยทางกายอีก
หนูลองเอาผ้าคลุมขาตั้งไอแพคเผื่อจะได้นิ่ม ๆ แป๊บเดียวหลับ แต่มันไม่ยอมโขกตรง ๆ เหมือนเดิม หัวคิ้วกลับเอียงไปโขกอย่างแรงกับพนักเก้าอี้ตัวข้าง ๆ แทน ได้เจ็บตัวอีก แต่เหมือนเดิมไม่มีแผล อีกครั้งแถวดั้งจมูก อันนี้เจ็บจริง ปรากฏที่กายมีบวมเล็กน้อย
มันเหมือนรู้ขึ้นมาว่า... ในช่วงภวังคจิตมันเหมือนเป็นอีกมิตินึงเจ้าค่ะ ทุกอย่างดูรุนแรงมาก แต่ไม่ปรากฏที่กายหยาบ มันแปลก ๆ เหมือนใช้กรรมยังไงไม่รู้เลยเจ้าค่ะ
และวันที่ 7 หนูปวดคอและสะบักมาก คงก้มหัวจุ่มกะละมังมาก (ไม่ถูกท่า) น้องที่บ้านนวดให้และเอาไม้มาขูด (กัวซา) เป็นผื่นแดงสีช้ำเลือดช้ำหนองมาก หมายความว่า เลือดเป็นพิษเยอะ
และดึกคืนที่ 7 นั้น มันโขกเหมือนเดิม เพิ่มเจ็บที่คอกะสะบักมาก ๆ ๆ ๆ แต่จู่ ๆ เริ่มเหงื่อออกมาก เหงื่อออกมาก ๆ ไหล ๆ เป็นเหมือนคนอาบน้ำ กำลังจะเป็นลม กายอ่อนกำลังลง อ่อนกำลังลง ตอนนั้นประมาณตีสอง แรงยกนิ้วจะโทรเรียกพี่ กะ น้อง กะ แม่ แทบไม่มีแรง โทรไป ไม่มีใครรับสาย แต่ใจไม่กลัวเลยเจ้าค่ะ มันสงบ ยอมรับ
เสียงน้อง... ที่เคยพูดว่า “ป่วยแต่ละครั้งมันตายได้เลย” ดังขึ้นมา ใจไม่มีห่วงแล้ว ขณะที่กายหมดกำลังอ่อนแรงมาก อยู่ ๆ จิตมันมีกำลังขึ้นมา เป็นกำลังสติปัญญา เพราะมันไม่มีอารมณ์อะไรเกิดขึ้นเลยแม้เพียงน้อยนิด มีแต่เสียงสติปัญญาบอก... หยิบเสื้อคลุมไปหนุนหัว เดินไปนอนตรงนี้
มันลุกเดิน ขึ้นบันได 4 ขั้น ไปล้มตัวนอนลงกับพื้นได้ แถมเดินเร็วขึ้นบันได 4 ขั้นได้ ทั้ง ๆ ที่เมื่อกี้แค่แรงยกนิ้วไปจิ้มโทรศัพท์ยังทำได้ลำบาก เหงื่อค่อย ๆ หยุดลงจากที่ไหลออกมาเป็นน้ำ ก็เริ่มเป็นหยดซึม ๆ ออกมา
น้องเพิ่งเดินมาหา บอกได้ยินเสียงโทรศัพท์แต่มันขี้เกียจ มานึกอีกทีว่าน่าจะมีอะไรเลยลงมาดู ก็ให้เอายาแก้ปวดคอมากิน แล้วหลับไปถึงเช้าเจ้าค่ะ
ถึงรู้ว่าขณะที่จะตาย ถ้าจิตไม่ปล่อยกาย มันยังยื้อได้เจ้าค่ะ ตอนปล่อยมันอ่อนแรง ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ อ่อนลงไปเรื่อย ๆ เหมือนความรู้ตัวจะน้อยลง ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ แต่พอมันไม่ปล่อย มันเข้าคลุมกายบัญชาการ กำลังกลับมาเจ้าค่ะ
“จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว สติปัญญาเป็นเจ้านายจิต” เจ้าค่ะ
ส่งการบ้านและกราบขอความเมตตาองค์หลวงตาชี้แนะด้วยเจ้าค่ะ กราบ กราบ กราบ เจ้าค่ะ
หลวงตาเจ้าคะ... ใจที่ไม่มีห่วง ไม่มีใย มันไม่มีอะไรให้นึกถึงขึ้นมาเลยเจ้าค่ะ มันก็เลยไม่มีที่จะไปต่อ ใช่ไหมเจ้าคะ กราบ กราบ กราบ เจ้าค่ะ
หลวงตา : (ส่งคำตอบเดียวกับที่ตอบโยม 1 ด้านบนให้ พร้อมข้อความ)
“พิจารณาธรรมข้างบนนี้”
โยม 2 : น้อมกราบขอบพระคุณองค์หลวงตาอย่างสูงสุดเจ้าค่ะ
ทันทีที่อ่านเจอคำว่า “วิราคะ” ข้างในมันร้องไห้มากเลยเจ้าค่ะ หนูจะน้อมนำพระธรรมคำสอนองค์หลวงตามาพิจารณา และค่อยส่งการบ้านใหม่นะเจ้าคะ กราบ กราบ กราบ เจ้าค่ะ
~~~~~~~~~~~~~~~
โยม 3 : กราบหลวงตาด้วยเศียรเกล้าค่ะ... ได้อ่านธรรมที่หลวงตาให้พิจารณา
มันเงียบ .. .. .. พิจารณาต่อไปไม่ได้
ไม่ทราบจะพิจารณาอย่างไร
ไปต่อไม่ได้ ไม่มีคำพูด... เงียบ
ธรรมผุดมาว่า “ทุกอย่างเป็นเช่นนั้นเอง”
“สัพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ (ธรรมทั้งมวล ทั้งสังขารและวิสังขาร ไม่มีผู้ยึดมั่นถือมั่น”
สาธุ ขอกราบหลวงตาสุดใจ (กราบ กราบ กราบ)
หลวงตา : ธรรมแท้เป็นเช่นนั้นเอง
โยม 3 : สาธุคะ หลวงตา
เพราะหลวงตา.... ตาที่มืดบอดจึงสว่างค่ะ (กราบ กราบ กราบ)
~~~~~~~~~~~~~~~
โยม 4 : กราบนมัสการหลวงตาค่ะ โยมขอส่งการบ้านค่ะ รูปนามขันธ์ห้ากองนี้ เรามีอวิชชาคือความไม่รู้ ไปหลงว่าสังขารที่เกิดดับอยู่ตลอดเวลา ทุกการกระทำมีเราเข้าไปมีส่วนร่วม และก็ไปยึดว่าเราเป็นเจ้าของขันธ์ห้า จึงเกิดวงจรปฏิจจสมุปบาท และมีการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏไม่จบสิ้น
โยมเพียรพิจารณาว่ารูปนามนี้เป็นกองทุกข์ ไม่มีอะไรเลยที่เป็นเรา เป็นของ ๆ เราเลย ไม่มีอะไรมีสาระที่เราควรจะหวงแหน ยึดมั่น กับสิ่งที่เกิดดับ ๆ อยู่ตลอดเวลา ไม่มีความเที่ยงแท้ มีความทุกข์กับความเจ็บ แก่และก็ต้องตายในที่สุด บังคับไม่ให้แก่ เจ็บ ตาย ก็ไม่ได้ จนกว่าใจยอมรับตามความเป็นจริงและสิ้นยึด ปล่อยวางขันธ์ห้า เป็นอิสระต่อกัน เป็นใจที่ว่างเปล่าและบริสุทธิ์ค่ะ
หลวงตา : สาธุ เพียรให้มากอย่างต่อเนื่อง
~~~~~~~~~~~~~~~
โยม 5 : กราบหลวงตาเจ้าค่ะ
คือก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไงเจ้าค่ะ แต่เห็นว่าที่ผ่านมา... เรารอคอย "ผลลัพธ์" และเราเชื่อ+ยึดไว้อย่างมาก ๆ ๆ ๆ ว่ามันมีอยู่จริง
พอฟังไฟล์ที่หลวงตาบอกว่าให้ถวาย ตัวเราที่อยากบรรลุธรรม ถวายตัวเราที่อยากพ้นทุกข์ ถวายตัวเราให้พระพุทธเจ้าไปด้วย...
ใจมันไม่ยอมเลยเจ้าค่ะ มันเหมือนกับเป้าหมายที่ดิ้นรนทะยานอยาก แสวงหามาหลายภพหลายชาติ คือให้เราพ้นทุกข์ ๆ ๆ ให้ถวาย เราที่พ้นทุกข์นี้เหรอ...
ไป ๆ มา ๆ มันไม่มีเป้าหมาย มันไม่มีตัวตนเราอยู่จริง
......มันไม่เคยมี......
ความดิ้นรนค้นหา... จึงปิดบังสัจธรรมความจริงเสียมืดมิด (เหมือนเมฆฝนบังพระอาทิตย์หรือพระจันทร์)
แปลกดีเจ้าค่ะ ทำไมพึ่งจะเห็น
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะบ้านเมืองมันเงียบ หรือเพราะใจเรามันสงบมากขึ้นเจ้าค่ะ
~~~~~~~~~~~~~~~
โยม 6 : กราบนมัสการองค์หลวงตาเจ้าค่ะ
วันนี้เดินกลับไปกลับมา มันพิจารณาแบบไม่ได้คิดพิจารณา มันใช้ความสงบใจเจ้าค่ะ ครั้งนี้มันรู้ขึ้นมาว่า... เป็น “วิราคะ” ในจิต ไม่ใช่ “วิราคะ” ในขันธ์ห้าแบบแต่ก่อน
สิ้นยึดจิตปัจจุบัน สิ้นยินดีในจิตปัจจุบันเจ้าค่ะ
สิ้นยึดสิ้นยินดีในจิตที่ไม่คิด ไม่นึก ไม่มีไป ไม่มีมา
แล้วอยู่ ๆ ก็ได้คำเฉลยองค์หลวงตามาเติมเต็มให้พอดี “ตายก่อนตาย” ถึงใจอย่างที่สุด ซึ้งถึงใจจนหมดคำพูดเลยเจ้าค่ะ
หลวงตา : ***** ตายก่อนตาย... “นิพพาน”
“คนตาย”... ไม่อยาก!!! ไม่สงสัย!!! ไม่ถามใคร!!! ไม่ดิ้นรนค้นหา!!!
ขอน้อมกราบแทบเท้าองค์หลวงตาอย่างสูงสุดเจ้าค่ะ กราบ กราบ กราบ เจ้าค่ะ
หลวงตา : สาธุ
~~~~~~~~~~~~~~~
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
โอวาทธรรมจากปุจฉาวิสัชนา
29 มีนาคม 2563
หมายเหตุ : อ่านข้อธรรมที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม
เรื่อง วิราคธรรม (อธิบายมิลินทปัญหา)
ที่มา : FB อาจารย์วศิน อินทสระ
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=1288858074637358&id=168433800013130
เรื่อง ความแตกต่างระหว่างคนมีราคะกับคนไม่มีราคะ (อธิบายมิลินทปัญหา)
ที่มา : FB อาจารย์วศิน อินทสระ
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=1288853814637784&id=168433800013130
~~~~~~~~~~~~~~~