โยม : กราบนมัสการหลวงตาค่ะ
หลังจากส่งการบ้าน โยมนั่งสมาธิทันที เพื่อทบทวนสิ่งที่หลวงตาได้เมตตาชี้แนะค่ะ
นั่งสมาธิโดยไม่ได้ตั้งใจจะพิจารณาอสุภะหรือรู้จิต ปล่อยให้เป็นอย่างที่มันเป็น สังเกตเพียงเกิดดับ จากไม่มีแล้วมี มีแล้วไม่มี สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เบาเพราะไม่มีอะไรที่ต้องทำหรือต้องพิจารณา หรือกังวล ปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปด้วยตัวมันเอง
สภาวะนี้ทำให้เกิดปีติทางกาย จึงมีอาการขนลุกเป็นช่วง ๆ โยมเพียงแต่รู้กับการเกิดดับ โดยในครั้งนี้ไม่มีสภาวะการพิจารณาอสุภะเลยค่ะ แต่สภาวะนี้ต่อเนื่องได้ประมาณ 40 นาที เริ่มมีอาการง่วง ทำให้วูบไปแป๊บค่ะ
จากสภาวะธรรมข้างต้น ขอความเมตตาหลวงตาชี้แนะค่ะ
กราบขอบพระคุณในความเมตตาของหลวงตาค่ะ โยมจะเพียรเพื่ออาจาริยบูชาค่ะ (กราบ กราบ กราบ)
หลวงตา : เหตุที่มีอาการง่วง ทำให้วูบไปแป๊บนั้น เกิดจากรู้แต่อาการปีติ เบาสบาย ซึ่งเป็นธรรมารมณ์
***** แต่ไม่ได้ปล่อยวางผู้รู้ ผู้รู้ในอดีต ผู้รู้ในปัจจุบัน ผู้รู้ในอนาคต ล้วนเป็นสังขารปรุงแต่งที่ละเอียดที่สุด
เลยผู้รู้ขึ้นไปจนไม่มีที่หมาย ไม่มีขอบเขต จะไม่ปรากฏอะไรเลย
เปรียบเหมือนกับว่าผู้รู้ปัจจุบันขณะคือตัวเรา ซึ่งยืนอยู่บนยอดเขาที่สูงที่สุด แต่เลยตัวเราขึ้นไปจนไม่มีที่หมาย ไม่มีขอบเขตจะไม่ปรากฏอะไรเลย
***** ทั้งตัวเราที่ยืนอยู่บนยอดเขาที่สูงสุด ก็ไม่ใช่ตัวตนของเราที่คงที่อยู่จริง เป็นเพียงตัวเราโดยสมมติ เพราะต้องตายแตกดับกลับคืนสู่ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟตามธรรมชาติ
ส่วนที่เลยตัวเราขึ้นไปจนไม่มีที่หมาย ก็ไม่มีปรากฏอะไร จึงไม่ใช่ตัวตนของเราเช่นกัน
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
โอวาทธรรมจากปุจฉาวิสัชนา
24 กุมภาพันธ์ 2563
~~~~~~~~~~~~~~~