จิตเดิมแท้เหมือนดั่งพระอาทิตย์ หรือพระจันทร์วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ แต่ความยึดถือในปัจจุบันขณะด้วยความดิ้นรนค้นหา ความอยาก อยาก ๆ ๆ ในทางโลก หรืออยากในทางธรรม ล้วนเอาเมฆมาบังพระอาทิตย์พระจันทร์หมด
ความอยากนั้นแหละเป็นต้นเหตุของความทุกข์ทั้งมวล สิ้นความอยาก “เหตุ” แห่งความทุกข์ก็ดับ ให้รู้เท่าทันเหตุ ไม่ใช่ไปสร้างเหตุแห่งความทุกข์ คือความอยาก ๆ ๆ เมื่อสิ้นความอยาก ความทุกข์ทั้งหลายก็ดับไป
เราต้องทำเหตุด้วยตัวเอง เห็นว่าความอยากความยึดถือนั้นคือเมฆ เป็นของจรมา มันไม่ได้เป็นของที่อยู่ในจิตเดิมแท้ เหมือนกับเมฆ มันไม่ได้อยู่ในดวงอาทิตย์ แต่พระพุทธเจ้าตรัสว่า “อุปกิเลส” กิเลสเป็นของจรมา เหมือนเมฆมาบังพระอาทิตย์
จิตเดิมแท้ "ปภัสสรังจิตตัง" มีความเป็นประภัสสรเหมือนดั่งดวงอาทิตย์ หรือพระจันทร์วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ แต่เพราะความไม่รู้ (อวิชชา) มีความอยาก ความยึดถือ ก็เลยไปเอาเมฆมาบังใจ มันแค่บังเฉย ๆ พอรู้เท่าทันปุ๊ป! เมฆทั้งหลายก็ละลายไป จิตเดิมแท้ก็คงเป็นจิตเดิมแท้ แต่เพราะความไม่รู้มันก็ยึดเมฆไว้นั่นแหละ แต่พอรู้เท่าทันซะแล้ว เมฆนั้นก็ไม่มีความหมายต่อใจ
สิ่งใดเมื่อมันจรมาเอง มันย่อมไปของมันเอง ไม่ใช่เราเป็นคนไปขับไล่ไสส่งมัน เพราะเราไม่ได้เอามันเข้ามา แม้แต่ความยึดความอยาก "กิเลส" เราก็ไม่ได้เอาเข้ามา แต่มันเกิดขึ้นเอง เมื่อไรที่เราเห็นว่ากิเลสมันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเอง มันจรมาเอง เมื่อมันจรมาเอง มันก็มีหน้าที่ต้องดับไปเอง
เหมือนเมฆที่ลอยมา ก็ไม่จำเป็นต้องรีบไปกวาดเมฆให้มันออกไปจากพระจันทร์หรือพระอาทิตย์ เมื่อมันจรมาเอง ไม่มีใครต้องไปทำลายเมฆ ให้มันออกไปจากดวงอาทิตย์หรือดวงจันทร์ เมฆนั้นมันก็ต้องผ่านไปของมันเอง
ด้วยความรู้สัจธรรมอันนี้ สิ่งใดเกิดเอง จรมาเอง แม้แต่เป็นกิเลส สิ่งนั้นมันก็ย่อมดับไปของมันเอง "อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา" ถ้าเห็นสัจธรรมอันนี้ปุ๊บ! บรรลุอรหันต์เลย
"ทุกสรรพสิ่งล้วนเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา"
เราไม่ได้เป็นผู้ทำเกิด เราก็ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ทำดับ ตั้งแต่เกิดมาในโลกนี้ เราก็ไม่ได้ทำเกิด และตอนเราจะตาย เราก็จะไม่จำเป็นต้องฆ่าตัวตาย เพราะตอนเราเกิดมาเราก็ไม่ได้ทำตัวเราเกิดมา
เมื่อมันเป็นธรรมชาติที่เกิดของมันเองด้วยเหตุปัจจัย สิ้นเหตุปัจจัยมันก็ดับไปของมันเอง
นี้คือ "เย ธมฺมา เหตุปฺปภวา เตสํ เหตุ ตถาคโต เตสญฺจ โย นิโรโธ จ เอวํ วาที มหาสมฺโณ"
"ธรรมทั้งหลายเกิดแต่เหตุ"
เมื่อเหตุดับผลก็ดับ เมื่อเหตุเกิด ผลยังเกิด เมื่อเหตุมี ผลก็ยังมี เมื่อสิ้นเหตุ ผลก็ไม่มี
กิเลสทั้งหลายเมื่อเราเห็นว่า เราไม่ได้เป็นผู้ทำเกิด พอเกิดมาเราไม่ได้เป็นผู้ตามใจมัน แล้วเราก็เห็นว่า มันจรมา เกิดเอง มันก็ดับไปของมันเอง ไม่มีใครไปทำให้มันเกิด และไม่มีใครไปทำให้มันดับ
ไม่มีคำพูด ไม่มีทั้งโง่และทั้งฉลาด ไม่มีทั้งปัญญาที่รู้แจ้ง เพราะไม่เหลืออะไรไว้เลย แม้แต่ปัญญาที่รู้แจ้งมันก็หายไป แต่มันก็เกิดขึ้นครั้งเดียว แล้วมันก็นิพพานตลอดกาล มันจึงไม่ต้องใช้ปัญญากันอีก
มันเพียงแต่ฟ้าผ่าลงใจครั้งเดียว "ปัญญาวิมุตติ" ฟ้าผ่าเปรี้ยง! ลงที่กลางใจครั้งเดียว ปัญญานั้นก็ดับไป แต่ใจบรรลุนิพพานไปแล้ว
ตรงที่ไม่มีคำพูด ไม่มีเหตุผล ไม่มีสมมุติและวิมุตติ ไม่มีทั้งปัญญาที่ฉลาด และไม่มีทั้งความโง่ ไม่มีโลก ไม่มีธรรม
มันเป็นความรู้ ออกมาจากใจที่ไร้คำพูด ไร้สมมติ ไร้โลก ไร้ธรรม มันไม่มีสมมติว่าสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา ไม่มีทั้งผู้ยึดถือ และไม่มีทั้งผู้ปล่อยวาง
เพราะมันไม่มีเรา ตัวเรา ตัวตนของเรา ของ ๆ เรา ... อนันตกาล ...
มีแต่ความรู้ที่ถูกต้อง ความรู้อันเดียวคือรู้ว่า .....
บัดนี้สิ้นผู้เสวยแล้ว
ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย
*** ภพชาติใหม่ไม่มี
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
โอวาทธรรมจากสนทนาธรรมกับคณะศิษย์
ณ พุทธธรรมสถานปัญจคีรี
วันที่ 7 มกราคม 2563
~~~~~~~~~~~~~~~~
หมายเหตุ : แนะนำสื่อธรรมที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม
วีดีโอเรื่อง "เมฆบังใจ"
https://youtu.be/u0R-Rari36E
วีดีโอเรื่อง "ตามหาพระนิพพาน"
https://youtu.be/Qr-5QNYsGhY
~~~~~~~~~~~~~~~~