ปฐมเหตุ : สืบเนื่องจากโอวาทธรรมจากปุจฉาวิสัชนา เรื่อง "สิ้นตัวตนผู้ยึดถือ คือ นิพพาน" วันที่ 12 มกราคม 2563
อ่านรายละเอียดโอวาทธรรมที่อ้างถึงด้านล่าง
https://timeline.line.me/post/_df9A9fT_Rv2xk3vB3rw1dMHhgl-EMiEl_lUPj2k/1157890339807064812
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
โยมส่งการบ้านองค์หลวงตาหลังจากได้อ่านปุจฉาวิสัชนา
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
โยม 1 : ภูมิรู้ภูมิธรรมองค์หลวงตาสูงส่ง เป็นที่สุดจากการเรียนรู้และประสบการณ์จริง ถ่ายทอดธรรมได้ทะลุปรุโปร่ง กระชับ ทางลัดสู่ทางพ้นทุกข์
แถมมีความเมตตาที่หาประมาณมิได้แก่ศิษย์ทุกคนไม่เลือกหน้า เป็นบุญของศิษย์ทุกคนอย่างยิ่ง ขอเทิดทูนองค์หลวงตาไว้เหนือเกล้าตลอดไป
หากมีสิ่งใดที่ศิษย์จะทดแทนพระคุณได้ รบกวนขอเอ่ยเจ้าค่ะ
น้อม กราบ กราบ กราบ ในมหาเมตตาตลอดมาเจ้าค่ะ
ชอบรูปนี้จังเลยเจ้าค่ะ
หมายเหตุ : เนื้อหาโอวาทธรรมในรูป (ภาพธรรม) ที่โยม 1 อ้างถึง :
นิพพาน คือ ไม่มีตัวตน ซึ่งเป็นเรา ตัวเรา ตัวตนของเรา เป็นผู้ยึดถือทั้งสังขาร ซึ่งเป็นสิ่งเกิดดับ และ วิสังขาร (ธรรมชาติไม่เกิดดับ)
ไม่มีตัวตน ซึ่งเป็นเรา ตัวเรา ตัวตนของเรา เป็นผู้ยึดถือแม้ธรรม และ นิพพาน
ไม่มีตัวตน ซึ่งเป็นเรา ตัวเรา ตัวตนของเรา เป็นผู้ยึดถือความไม่ยึดถือ
เมื่อไม่มีผู้ยึดถือ จึงไม่มีผู้ทุกข์ เรียกว่า “นิพพาน”
~~~~~~~~~~~~~~~
โยม 2 : กราบองค์หลวงตาเจ้าค่ะ เป็นแบบที่หลวงตาบอกไว้ทุกอย่าง
พอมีความทุกข์ ก็หลงว่าเราเป็นทุกข์อีกแล้ว หลงพยายามช่วยให้เราพ้นทุกข์ หลงปรุงแต่ง ว่าเราปฏิบัติไม่พอ หรือทำไมเรายังเป็นทุกข์ ทำไมเรายังหลง ทำไมยังขาดสติ
อยากไม่ทุกข์ อยากไม่หลง อยากมีสติ อยากก้าวหน้า ไม่อยากให้เกิดสภาวะแบบนี้อีก
สรุปหลงหมด... หลงอดีต หลงอนาคต หลงสภาวะของคู่ ลืมปัจจุบัน...
กราบขอบพระคุณหลวงตามาก ๆ ๆ เจ้าค่ะ
กราบ กราบ กราบ
~~~~~~~~~~~~~~~
โยม 3 : กราบขอบพระคุณอาจารย์ที่เมตตาส่งพระธรรมอันบริสุทธิ์มาให้พิจารณาค่ะ เป็นการบรรยายให้ผู้มีปัญญาน้อยอย่างหนูเข้าใจได้
ซาบซึ้ง
การเดินจิตเขาเดินของเขาเอง ไม่ว่าจะเป็นธรรมลึกซึ้งละเอียดขนาดไหนที่รู้เองโดยไม่ผ่านคิด เห็นจากใจตามความเป็นจริง สิ่งที่ถูกรู้ และผู้รู้ได้ ล้วนเป็นสังขารทั้งสิ้น หากขาดสติ ปัญญา จะหลงยึดความรู้นั้นเป็นตัวเป็นตน
ธรรมชาติต่างทำหน้าได้อย่างสมบูรณ์อยู่แล้ว เหนือคำพูดที่เป็นสมมุติบัญญัติ ที่จะพรรณนาได้ ปัจจัตตัง ??
ธรรมะคือปัจจุบัน นอกนั้นคือธรรมเมา
~~~~~~~~~~~~~~~
โยม 4 : ทุกข์เกิดแต่เหตุ จะดับทุกข์ก็ต้องดับที่เหตุ จึงต้องดำเนินเหตุให้ถูกตามธรรม
หน้าที่เรานอกจากการมีสัมมาทิฏฐิที่ถูกต้องแล้ว สิ่งสำคัญจะต้องมีสติรู้เท่าทันความปรุงแต่งที่เกิดขึ้นในทุกปัจจุบันขณะ คือต้องไม่ยึดถือสังขารปรุงแต่งทั้งหลาย ที่แสดงหรือที่รับรู้ได้ทางอายตนะทั้ง 6 ซึ่งเกิดขึ้นมา และดับลงคืนสู่จุดกำเนิดดั้งเดิม (ความไม่มี)
ความปรุงแต่งที่ดิ้นรนค้นหาภายในใจ และความปรุงแต่งที่เป็นเรา ตัวเรา ของเรา ล้วนเริ่มต้นมาจากความไม่มี จะเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เกิดขึ้นมาและดับลงในที่สุด หากมีสติ สมาธิ ปัญญา สังเกตให้ดี จะเห็นว่าไม่ได้แตกต่างไปจากธรรมชาติของสังขารตัวอื่น ๆ เลย
หากมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ไม่หลงยึดถือสิ่งใดในทุกปัจจุบันขณะ รวมถึงความรู้สึกที่เป็นเรา ตัวเรา ของเราที่เกิดขึ้นมา ก็ย่อมดับลงด้วยตัวของเขาเอง
จึงไม่มีผู้ใดต้องไปรู้ไปเห็นไปปล่อยไปวาง หรือไปทำอะไรให้เป็นอะไร มีแต่ "ธรรมชาติที่ทำหน้าที่" ไม่ได้มีสิ่งใดเลยให้ยึดถือได้
ปล่อยให้ธรรมชาติเขา "เกิดเอง ดับเอง"
ส่วนจิตที่หลงยึดถือมานานนั้น ต้องเรียนรู้เองและปล่อยวางด้วยตัวของเขาเอง ไม่มีเราที่ต้องไปดิ้นรนเพื่อให้ได้ให้ถึงสิ่งใด
"รู้อยู่กับปัจจุบัน" เมื่อปราศจากตัวตนก็ปราศจากการยึดถือ "เราผู้เป็นส่วนเกิน" ก็ได้ตายแตกดับไปในทุกขณะของลมหายใจที่เข้าออกอยู่แล้ว
กราบขอบพระคุณหลวงตาครับ
กราบ กราบ กราบ
~~~~~~~~~~~~~~~
โยม 5 : กราบขอบพระคุณข้อธรรม ที่องค์หลวงตาเมตตาส่งมาให้เจ้าค่ะ
ธรรมของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ละเอียดลึกซึ้งถึงใจ ลูกอ่านพิจารณาซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายรอบเจ้าค่ะ
อวิชชาตัวใหญ่ที่แท้ก็คือ "ตัวกู" นั่นเองเจ้าค่ะ ที่เป็นตัวแสบในทุก ๆ เรื่อง เพราะความอยากได้ อยากมี อยากเป็น จึงต้องไปสร้างภพสร้างชาติ เวียนว่ายตายเกิด ใช้หนี้ผลกรรมไม่มีที่สิ้นสุด
จึงต้องเพียรมี สติ สมาธิ ปัญญา โยนิโสฯ ให้รู้เห็นตามความเป็นจริงจากใจตลอดเวลาว่า สังขารทั้งหลาย เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีตัวตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ควรไปยึดมั่น ถือมั่น หรือแม้แต่ ธรรม ที่เป็นวิสังขาร คือ ธาตุรู้ ก็เช่นกันเจ้าค่ะ มันก็เป็นธรรมชาติที่มีอยู่เช่นนั้น มันก็ไม่มีเรามาตั้งแต่แรกเช่นกัน
ให้รู้เท่าทัน สังขาร ก็จะไม่หลงสังขาร จึงจะพบใจที่เป็นธาตรู้ ที่ได้แต่รู้ สักแต่ว่ารู้ ทุกปัจจุบันขณะ โดยไม่มีผู้รู้ และไม่มีผู้ยึดถือทั้งผู้รู้ และสิ่งที่ถูกรู้
เมื่อไม่มีตัวตน ผู้รู้ ไม่มีตัวตนผู้ยึด ก็ไม่มีผู้ทุกข์ "นิพพาน" เจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณหลวงตาเจ้าค่ะ ที่เมตตาต่อลูกเสมอมา
~~~~~~~~~~~~~~~
โยม 6 : เมื่อปัจจุบันขณะใด มีสติรู้เท่าทันความเป็นจริงของสังขาร รู้เท่า รู้ทัน รู้ละ รู้ปล่อย รู้วาง ถอดถอนความเห็นผิดว่ามีเรา ตัวเรา ของเราในขันธ์ 5 นี้
เมื่อเห็นว่าไม่มีตัวตนที่แท้จริงในกาย ในใจนี้ ไม่สำคัญมั่นหมายตนเป็นอะไร ๆ กับอะไร ๆ
ไม่มีตัวตนของผู้มี หรือผู้ไม่มี
ไม่มีตัวตนของผู้ได้ หรือผู้ไม่ได้
ไม่มีตัวตนของผู้เป็น หรือผู้ไม่เป็น
ไม่มีตัวตนของผู้รู้ หรือผู้ไม่รู้
ไม่มีตัวตนของผู้ยึด หรือผู้ไม่ยึด
ไม่มีตัวตนของผู้ทุกข์ หรือผู้ไม่ทุกข์
ไม่มีตัวตนของผู้นิพพาน หรือผู้ไม่นิพพาน
เมื่อสิ้นความหลงยึดถือว่ามีตัวตน สิ้นหลงยึดถือว่ามีเรา ตัวเรา ของเรา ณ ที่ใดแล้ว ก็สิ้นเหตุ
เมื่อสิ้นเหตุแล้ว ผลย่อมสิ้นตามเหตุนั้น
~~~~~~~~~~~~~~~
โยม 7 : กราบนมัสการเจ้าค่ะ กราบขอบพระคุณหลวงตาที่เมตตาอดทนทั้งบอก ทั้งสอน ทั้งชี้ ทั้งนำ ทั้งแคะ ทั้งเขี่ยเจ้าค่ะ
เส้นทางที่ถูกตรง เข็มทิศที่คมเฉียบ แสงนำทางอันสว่างชัด อาหารและที่พักแรมอันร่มเย็มยามเหนื่อยล้า หลวงตาได้เมตตามอบให้ศิษย์ทุกคนอย่างไม่มีข้อแม้ ทางเดินนี้จะเป็นเพียงการเดินที่ไร้ตัวตนของผู้เดินทางเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณอย่างที่สุดหัวใจเจ้าค่ะ
กราบ กราบ กราบ
~~~~~~~~~~~~~~~
โยม 8 : กราบขอบพระคุณเจ้าค่ะหลวงตา ชัดเจนมากเจ้าค่ะ
สุดท้ายความเป็นตัวเรา อยู่ในทุกอณูที่ละเอียดที่สุด และสิ่งนั้นคือ
"สติปัญญา ที่รู้ความจริงทุกสิ่ง"
"สติในปัจจุบัน ที่ได้แต่รู้และไม่ยึดอะไรแล้ว"
"สติที่ไม่ได้มีเราแล้ว"
แต่แม้กระทั่งมันจะเป็นแบบนั้น แต่สติปัญญานั้น กลับเป็นสังขารอยู่ดี
สุดท้าย มันต้องดับลงในวันที่ตายเจ้าค่ะ มันไม่มีสิ่งใดเที่ยง ไม่มีสิ่งใดเหลือจริง ๆ
สิ่งที่เที่ยงและสิ่งที่เหลือ ก็คือความจริง ว่ามันไม่เหลืออะไรที่เป็นส่วนเสี้ยวที่มันมีอยู่ในตอนนี้เลย
นั่นคือความจริงที่ปรากฏเป็นธรรมแท้ ที่ถูกสังขารบังมาตลอดเจ้าค่ะ
รู้แก่ใจว่าทุกอย่างที่ปรากฏในปัจจุบัน มันของดับหมด รู้แก่ใจว่าสุดท้ายไม่มีสิ่งใดเหลือ
ใยเดียวที่โยงยึด คือ ความรู้สึกว่า "ตัวเอง" ต้องดับ ด้วยอำนาจของสติปัญญาของตนเองนั่นแหละ เป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้ "ตัวมันเอง" อนุญาตให้ "ตัวมันเอง" ดับสนิทไม่มีส่วนเหลือเจ้าค่ะ
ถ้าสติปัญญาไม่พอ มันไม่มีใครอนุญาต ยอมให้ตัวเองดับสนิทได้เจ้าค่ะ ต้องใจเจ้าของเอง คำตอบมันอยู่ตรงนั้น ความกล้าหาญ ความสละ มันอยู่ตรงนั้น อนุญาตให้สิ่งนั้น มันเป็นไปเท่านั้นเองเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณเจ้าค่ะหลวงตา
กราบ กราบ กราบ
หลวงตา : ธรรมชาติของจิตเดิมแท้ หรือ ใจแท้ ๆ ไม่เคยเกิดตาย มีแต่ขันธ์เขาแตกตาย
~~~~~~~~~~~~~~~
โยม 9 : กราบนมัสการค่ะหลวงตา ผู้รู้ไม่ยึด ผู้ยึดไม่รู้ค่ะ
หลวงตา : สาธุ
~~~~~~~~~~~~~~
โยม 10 : กราบ กราบ กราบ
ทบทวนธรรมไปมา สุดท้ายมันแจ้งด้วยธรรม "สิ้นสุดเพราะหยุดแสวงหา" ไม่มีการไป ไม่มีการมา ไม่มีหยุดอยู่ แค่สภาวะของจิตที่ดำเนินไปตามธรรม ตามเหตุตามปัจจัย หามีสิ่งหนึ่งสิ่งใดไปบังคับให้เขาเป็นไปในทางหนึ่งทางใดไม่ได้เลย
สภาวะที่จิตดำเนินของจิตเองเป็นธรรมโดยแท้
กราบ กราบ กราบ
หลวงตา : จิตเขาเกิดเอง ดับเอง ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ .....
โยม 10 (ต่อ) : เจ้าค่ะ เหมือนที่หลวงปู่ดูลย์ท่านว่า ใช้จิตเที่ยวแสวงหาจิต นานกี่กัปก็ไม่มีวันเจอเจ้าค่ะ
ธรรมทั้งละเอียด หยาบ ปานกลาง มาจากที่เดียวกันหมดเลยเจ้าค่ะ มาจากความไม่มี
กิเลสกับธรรมก็มาจากที่เดียวกัน เพราะกิเลสก็คือธรรมชาติอันหนึ่ง ธรรมก็ธรรมชาติที่รู้กิเลส เขารู้กันเอง ... หาที่ใช่เราไม่มีเลยเจ้าค่ะ
กราบ กราบ กราบ
หลวงตา : "ใจ" แท้ คือ ความไม่มีตัวจิต ตัวใจ ไม่มีรูปลักษณ์ ไม่มีการปรุงแต่ง ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา
มันว่างเปล่าเหมือนท้องฟ้าหรืออวกาศ แต่มันไม่ใช่ความว่างที่เป็นอากาศ แต่มันเป็นธาตุรู้ที่ว่างเปล่า
*****มันจึงเป็นธรรมชาติที่สงบเงียบที่สุดในท่ามกลางความปรุงแต่ง โดยไม่ต้องพึ่งพาสิ่งใด
"ใจ" แท้ มันเป็นธรรมชาติรู้ของมันเอง ไม่ใช่เป็นใจเรา หรือ เป็นใจของเรา ไม่ใช่เรา หรือ ตัวเราเป็นคนรู้
ธาตุรู้ ซึ่งเป็นธรรมธาตุ เขารู้ของเขาเอง โดยไม่มีตัวตนของผู้รู้ หรือ เป็นความรู้ที่ว่างเปล่าจากตัวตน ว่างเปล่าจากความปรุงแต่ง ว่างเปล่าจากอาการ
"ใจแท้"
"ว่างเปล่าที่สุด" เพราะไม่มีตัวตน ไม่มีรูปลักษณ์
"สงบเงียบที่สุด" เพราะเป็นธรรมชาติไม่ปรุงแต่ง (วิสังขาร อสังขตธาตุ หรือ อสังขตธรรม)
โยม 10 (ต่อ) : เจ้าค่ะ หมดคำพูดโดยปริยายเจ้าค่ะ...
เหมือนส่งการบ้านต่อหน้าหลวงตาเลยเจ้าค่ะ
พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พ่อแม่ครูบาอาจารย์ องค์หลวงตาอยู่ในทุกที่เลยเจ้าค่ะ???
หลวงตา : ส่วนขันธ์ห้า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นธรรมชาติปรุงแต่ง จึงเกิดดับ เป็นทุกข์
เมื่อธาตุขันธ์ยังไม่ดับ ขันธ์ห้าก็ยังเป็นสังขารปรุงแต่งอย่างเก้อ ๆ ไม่มีตัวตนของผู้ยึดถือ
ส่วน "ใจแท้" ไม่ใช่ขันธ์ห้า แต่เป็นธาตุรู้แท้ ว่างเปล่า เงียบ สงบ อย่างเก้อ ๆ ไม่มีตัวตนของผู้ยึดถือ
โยม 10 (ต่อ) : ใช่เจ้าค่ะ เพราะรู้ว่าขันธ์ห้านี้ที่เป็นทุกข์เพราะธรรมชาติของเขาเป็นเช่นนั้นเอง ส่วน "ใจแท้ ๆ" ไม่ว่าขันธ์ห้ามันจะเป็นอย่างไร มันก็สงบของมันเช่นนั้น
หลวงตา : สาธุ
~~~~~~~~~~~~~~~
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
โอวาทธรรมจากปุจฉาวิสัชนา
14 มกราคม 2563
ติดตามธรรมะเพื่อความพ้นทุกข์ในปัจจุบันได้ทาง...
วีดีโอช่องทางติดตามสื่อธรรมหลวงตา
https://youtu.be/hW2qyxl-bwU
www.luangtanarongsak.org
FB : เพจหลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
Line ID : @luangta.narongsak
YouTube : เสียงธรรมะ หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
YouTube (English) : LuangtaNarongsak Kheenalayo
Instagram : @luangta.narongsak
Podcast / Antenna : หลวงตาณรงค์ศักดิ์
Podbean : Luangta Narongsak
Soundcloud : เสียงธรรมะ หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
ขอรับสื่อธรรมได้ทาง Line ID : @dhammaluangta