ในขันธ์ห้าหรือร่างกายจิตใจของเรานี้ ประกอบไปด้วยธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ ธาตุรู้หรือวิญญาณธาตุ ถ้ามีอากาศธาตุที่เป็นช่องว่าง มีความว่างด้วยก็รวมเป็น 6 ธาตุ ประกอบขึ้นมาเป็นชีวิต เป็นร่างกายจิตใจหรือเป็นขันธ์ห้า
ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ ธาตุอากาศนี้ไม่มีความรู้ เวลาตายแล้ว ธาตุดินก็กลับคืนไปเป็นธาตุดินในธรรมชาติ ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟก็กลับคืนไปสู่ธาตุในธรรมชาติ ธาตุอากาศก็กลับคืนสู่ความว่างในธรรมชาติ ที่สำคัญมันอยู่ตรงที่ “ธาตุรู้” หรือ “วิญญาณธาตุ”
ธาตุรู้ หรือ วิญญาณธาตุนี้ ถ้ายังมี “อวิชชา” ยังอยู่ในธาตุรู้ คือเป็น “ความรู้หลง” ไม่ใช่เป็นความรู้แจ้ง เป็นความหลงอยู่ในธาตุรู้ ธาตุรู้นี้ก็จะกลับคืนไปสู่รวมกับความว่างในธรรมชาติในจักรวาลไม่ได้
ธาตุรู้ที่ไม่มีความหลงแล้ว คือไม่หลงว่ามีตัวมีตนเป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นตัวตนของเรา ไม่ยึดมั่นถือมั่นว่ามีเรา มีตัวเรา มีตัวตนของเราอยู่ในขันธ์ห้านี้ หรือไม่ยึดเอาขันธ์ห้าทั้งตัวนี้ว่าเป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นตัวตนของเรา ที่เห็นมันเป็นของเที่ยงแท้มั่นคง จึงเป็นธาตุรู้ที่บริสุทธิ์
ท่านผู้ใดมีสติ สมาธิ ปัญญาพิจารณาให้เห็นว่าสังขารร่างกาย รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ซึ่งเป็นกายหยาบว่าเป็นของไม่เที่ยง มีความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ไปสู่ความเสื่อม ความแก่ ความเจ็บ ความตายตลอดเวลา ตัวตนที่คงที่ไม่มีอยู่จริง ก็จะสิ้นความหลงยึดมั่นถือมั่นในสังขารร่างกายจิตใจ ที่เป็นรูปธรรมนามธรรมที่เป็นของหยาบนี้
แม้แต่ไม่ยึดถือร่างกายยาววา หนาคืบ กว้างศอกนี้เป็นตัวเป็นตน เป็นเราเป็นตัวเรา เป็นตัวตนของเราแล้ว แต่ก็จะยังหลงยึดถือ “จิต” หรือ “วิญญาณ” ที่มาเกิด ที่มาผสมกับธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศธาตุ ว่าเป็นเราเป็นตัวเราเป็นตัวตนของเรา ก่อนที่จะมาเกิดผสมกันขึ้นมาเป็นขันธ์ห้า มีวิญญาณมาเป็นตัวเราลอยมา แล้วก็ตัวเราก็มาเกิด เลยยึดถือว่าภายในขันธ์ห้า ภายในตัวเรานี้มี “ตัวเรา” เป็นตัวเป็นตน
เมื่อยังมีความหลงยึดถือที่ผิด ๆ ที่เป็นมิจฉาทิฏฐิแบบนี้ เป็นโมหะ เป็นความหลง เมื่อตายแล้วธาตุขันธ์แตกดับ ธรรมชาติ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ ธาตุอากาศจะต้องกลับคืนสู่ธรรมชาติ ธาตุรู้ก็ต้องกลับคืนสู่ธรรมชาติเหมือนกัน แต่ “ธาตุรู้” เมื่อความหลงยึดถือยังไม่สิ้น ยังเป็นอวิชชา ตัณหา อุปาทาน หลงยึดมั่นถือมั่นเป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นตัวตนของเราที่คงที่ ยังยึดถืออยู่ในจิต ยึดถืออยู่ในความรู้สึก
พอธาตุขันธ์แตกดับแล้ว “ธาตุรู้” นี้ ซึ่งโดยธรรมชาติของเขาเป็นความว่างเปล่าเหมือนกับเป็นความว่างในธรรมชาติ เป็นอากาศธาตุเป็นเหมือนกัน มีสภาพเหมือนกัน เป็นความว่างเหมือนกัน แต่ธาตุอากาศไม่มีความรู้ เป็นแต่ความว่างหรือเป็นอากาศ หรือเป็นอวกาศที่ไม่มีความรู้ แต่ธาตุรู้เป็นความว่างเหมือนกับอากาศหรืออวกาศ แต่มีความรู้อยู่ในตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งพาความรู้จากสิ่งใด เขาก็จะไปรวมเป็นเนื้อเดียวกัน ถ้าไม่มีอวิชชา ตัณหา อุปาทาน
สิ้นความหลงยึดมั่นถือมั่นที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ คือความเห็นผิดเป็นอวิชชา หรือความโง่ไปหลงยึดถือในสิ่งที่ยึดถือไม่ได้ แต่ก็ยังหลงยึดถือให้มันได้ เป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นตัวตนของเรา สิ้นความหลงโง่อยู่ในจิตเดิมแท้ หรือในวิญญาณที่มาเกิด ธาตุรู้นั้นก็จะไปรวมกับความว่างเปล่าในธรรมชาติที่เป็น “ความรู้” คู่ความว่าง คู่ธรรมชาติ
เมื่อความรู้นี้สิ้นอวิชชา ตัณหา อุปาทาน ความรู้นี้จึงเป็น “ความรู้ที่บริสุทธิ์”
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
โอวาทธรรมจากไฟล์เสียง
191230A1-1 พลังบริสุทธิ์จากธาตุรู้บริสุทธิ์
30 ธันวาคม 2562
ฟังจากยูทูป :
https://youtu.be/feiq2Bicf04
~~~~~~~~~~~~~~~