หลวงตาณรงศักดิ์ ขีณาลโย

  • หน้าหลัก
  • สื่อธรรมะ
    • หนังสือธรรมะ
    • เสียงธรรม
      • เสียงธรรมรายปี
      • ไฟล์เสียงจัดชุด
    • CD
    • e-Book ปุจฉา-วิสัชนา
  • ปุจฉา-วิสัชนา
  • ภาพธรรม
  • วิดีโอธรรม
  • ธรรมทัศน์
  • ธรรมถึงใจ
  • ธรรมโอวาท
    • โอวาทธรรม
      • โอวาทธรรม 60-61
      • โอวาทธรรม 62
        • โอวาทธรรม ม.ค. - มี.ค. 62
        • โอวาทธรรม เม.ย.- มิ.ย. 62
        • โอวาทธรรม ก.ค. - ก.ย. 62
        • โอวาทธรรม ต.ค. - ธ.ค. 62
      • โอวาทธรรม 63
        • โอวาทธรรม ม.ค. - มี.ค. 63
        • โอวาทธรรม เม.ย. - มิ.ย. 63
        • โอวาทธรรม ก.ค. - ก.ย. 63
        • โอวาทธรรม ต.ค. - ธ.ค. 63
      • โอวาทธรรม 64
        • โอวาทธรรม ม.ค. - มี.ค. 64
      • โอวาทธรรมถึงใจ
    • ปกิณกธรรม
    • ประชาสัมพันธ์สื่อธรรม
    • โอวาทธรรมชุด
  • Other Languages
    • English
    • Deutsch

สิ้นผู้เสวย สิ้นผู้ยึดมั่นถือมั่น จึงพ้นทุกข์ "นิพพาน"

 โอวาทธรรม Q4 2562 58

 

โยม 1 : กราบเท้าองค์หลวงตาเหนือเกล้าค่ะ

 

ฟังคำสอนของหลวงตาซ้ำไปมา ... จนเริ่มพอเข้าใจโครงสร้างที่หลวงตาสอนค่ะ

 

ภาพในหนังพระพุทธเจ้ามหาศาสดาโลก ที่พระองค์มีสาม ร่างแล้วมารวมเป็นหนึ่ง

 

คือ รูป + นาม + จิตเดิมแท้

 

แต่ด้วยจิตเดิมแท้ที่ยังมีอวิชชา จึงยังไม่เป็นหนึ่ง คือยังมีกายโปร่งแสงแยกออกมาพาวนเกิด วนตาย ตามแรงกรรม

 

ศิษย์เข้าใจตามโครงสร้างอย่างนี้ค่ะ ... เมื่อเห็นว่ารูปไม่เที่ยง + นามไม่เที่ยง จึง “พยายาม” ละความยึดถือในรูปกับนาม และสมมุติต่าง ๆ ... แต่ละไม่ได้เพราะยังมีตัวการใหญ่คืออวิชชา ที่ฝังเนียนที่จิตเดิมแท้ เป็นตัวการ ... รู้ที่ออกจากจิตอวิชชาจึงเป็นรู้ที่มีผู้รู้ / อัตตาแฝงอยู่

 

ถึงตรงนี้มีคำสอนหลวงตาขึ้นมาว่า
“ไม่ส่งจิตออกนอก ไม่สยบติดภายใน”
“รู้ทุกคิดไม่ติดไป”

 

อันนี้คือรู้หนึ่ง ใช่มั้ยคะหลวงตา

 

กราบเท้าองค์หลวงตาขอคำชี้แนะ หากศิษย์เข้าใจอะไรผิดพลาดไปค่ะ

 

หลวงตา : สิ้นอวิชชา ตัณหา อุปาทาน หรือ สิ้นผู้เสวย สิ้นยึดมั่นถือมั่น ไม่มีตัวตนของผู้เสวย หรือ ไม่มีตัวตนของผู้ยึดมั่นถือมั่นทั้งสังขารและวิสังขาร ก็นิพพาน

 

หรือไม่หลงส่งจิตออกนอก วิญญาณก็จะไม่สยบติดสิ่งใดภายนอก

 

ไม่หลงส่งจิตเข้าใน วิญญาณก็จะไม่สยบติดสิ่งใดภายใน
และ ไม่ยึดมั่นถือมั่นขันธ์ห้า ซึ่งเป็นสังขารปรุงแต่ง หรือ พ้นสังขาร หรือ สิ้นยึดมั่นถือมั่นสังขาร

 

ไม่มีตัวตนของผู้พ้นสังขาร ไม่มีตัวตนของผู้ไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่ยึดมั่นถือมั่นแม้ความไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่ยึดมั่นถือมั่นธรรม ไม่ยึดมั่นถือมั่นนิพพาน ไม่มีตัวตนของผู้ไม่ยึดมั่นถือมั่นธรรม ไม่มีมีตัวตนของผู้ไม่ยึดมั่นถือมั่นนิพพาน

 

สิ้นตัวตนของผู้ยึดมั่น ก็พ้นทุกข์ (นิพพาน)

~~~~~~~~~~~~~

 

โยม 2 : กราบนมัสการครับ

 

หลายวันมานี้ ความชัดเจนที่ว่า ตัวเรานั่นแหละ คืออวิชชาตัวจริง ทั้งรูปและนามที่สังขารขึ้นมา ล้วนมาจากความหลงผิดทั้งสิ้น แม้แต่ "ความเข้าใจ" ในจุดนี้ ก็ยังเป็นสังขารเช่นกัน

 

ความเป็นตัวเรา ดูมันเบาบางลงอย่างบอกไม่ถูก ในทุกขณะปัจจุบันมันรู้แก่ใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้น ล้วนเป็นสังขารทั้งสิ้น ภายในกลับเงียบสงบ ความหลงไปในสังขารลดน้อยถอยลงไป แบบที่ไม่ต้องไปทำอะไรทั้งสิ้น

 

คงปล่อยให้สังขารเกิดขึ้นและสลายตัวไปเอง

 

กราบ กราบ กราบ องค์หลวงตาเป็นที่สุดครับ

 

หลวงตา : สาธุ ... มันเป็นเช่นนั้นเอง

~~~~~~~~~~~~~

 

โยม 3 : กราบขอบพระคุณ​เจ้าค่ะหลวงตา

 

ละเอียดลึกซึ้งเข้าไปอีก

 

แม้ไม่ใช่สองฝั่ง​ ก็ยังไปยึดอยู่​ ว่าธรรมะเป็นแบบนี้เอง ๆ

 

ว่างก็ไม่ใช่​ ไม่ว่างก็ไม่ใช่​ ที่แท้เป็นแบบนี้เหรอ แต่สุดท้าย​ ไอ้ที่แท้ ๆ​ ก็ยังยึดอยู่

 

ทุกกระบวนการรู้​ ไม่ใช่สองฝั่ง​ ไม่ใช่กลาง ๆ​ ไม่ใช่หยุดอยู่​ อะไร ๆ ก็ไม่ใช่ แต่สุดท้ายก็ไปยึดอะไร ๆ ก็ไม่ใช่

 

ละเอียด​ ลึกซึ้งถึงที่สุดเจ้าค่ะ
กราบ กราบ กราบ

~~~~~~~~~~~~~

 

โยม 4 : กราบนมัสการหลวงตาเจ้าค่ะ

 

หนูอยากจะร้อง...โอ้แม่เจ้า!!! มันช่างละเอียดจริง ๆ เจ้าค่ะ

 

เมื่อไม่ยึดมั่นถือมั่นในสังขาร จึงพ้นสังขารไป และเจอวิสังขาร ตรงนี้ในขั้นแรกจะมี “เรา” ไปเป็นผู้พ้นสังขาร และเป็นวิสังขารแทน... จนมีปัญญาเข้าใจเห็นว่าตัวเราที่พ้นสังขาร ตัวเราเป็นวิสังขาร... ก็เป็นสังขารอยู่ดี จึงปล่อยวางมันไป

 

แล้วก็กลับกลายเป็น มี “ตัวเรา” เป็นผู้ไม่ยึดมั่นถือมั่นทั้งสังขาร และวิสังขารอีก จริง ๆ แล้ว ไอ้เจ้าตัวที่เป็นผู้ไม่ยึดมั่นถือมั่นทั้งสังขารและวิสังขาร ก็เป็นสังขารตัวละเอียดอีกที... ต้องมีปัญญารู้ทัน จึงจะไม่มีตัวตนที่ไม่ยึดมั่นถือมั่นทั้งสังขารและวิสังขาร

 

จึงเรียกว่านิพพาน แต่ก็จะมี ผู้ยึดนิพพานอีก... ว่าเราเป็นผู้นิพพาน เมื่อรู้เท่าทัน... ก็หลงอีกทีว่ามีเราเป็นผู้ไม่ยึดนิพพาน

สรุปได้ว่าทั้งผู้ยึดและไม่ยึดไม่ว่าจะเป็นสังขาร, วิสังขารหรือนิพพาน มันเป็นเพียงสังขารตัวนึงแค่นั้นเอง จริง ๆแล้วไม่มีตัวตนใด ๆ ไม่มีความคงที่ใด ๆ เลยในโลกนี้ ไม่มีใครเป็นอะไร ไม่มีใครได้อะไร ไม่มีใครไปไหน ไม่มีใครได้นิพพาน ไม่มีใครนิพพาน

 

เราทุกคนปฏิบัติมาเพื่อให้รู้ความจริงอันสูงสุดตรงนี้ เท่านั้นใช่ไหมเจ้าคะหลวงตา

 

กราบ กราบ กราบ

~~~~~~~~~~~~~

 

โยม 5 : อวิชชาตัวจริง คือตัวเรานี่แหละเจ้าค่ะ ที่อยากได้ อยากเป็น อยากมีมันทุกสิ่ง อยากได้แม้ธรรมชาติที่เค้าเป็นของเค้าอยู่แล้ว แล้วก็หลงว่าเราได้มันมา เราเป็นมันได้ ของจริงคือ ไม่มี ไม่เหลืออะไรเลย

 

ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์เมตตาชี้แนะ คงไม่อาจเข้าใจได้ขนาดนี้เจ้าค่ะ กราบขอบพระคุณหลวงตาเจ้าค่ะ
กราบ กราบ กราบ

~~~~~~~~~~~~~~

 

โยม 6 : กราบหลวงตาที่เคารพครับ

 

"ไม่ยึดมั่นถือมั่น" เป็นธรรมที่เด็ดขาดจริง ๆ ครับ เป็นหัวใจแห่งธรรมเลยก็ว่าได้ การปฏิบัติในชีวิตประจำวัน เวลามันหลง มันก็จะหลงอยู่ตรงนี้เป็นส่วนใหญ่ แม้ตอนที่จิตเขาไม่หลงส่งออกไปข้างนอก หรือ ไม่หลงส่งไปยุ่งข้างใน แต่เวลาที่ยังหลง ก็เพราะยังมี "เชื้อของความยึดมั่นถือมั่น" ยึดถืออะไรสักอย่างอยู่ในขณะจิตนั้น ๆ ไม่ว่าจะเป็น...

 

... ยึดมั่นถือมั่นใน "ความคิด" ว่าเป็นเรา
... ยึดมั่นใน "ผู้รู้" ว่าเป็นเรา
... ยึดมั่นใน "ความเห็น" ในหลักการ หรือ ในสัญญาอะไรสักอย่างว่า เช่นนี้ถูก เช่นนี้ผิด เป็นเราถูก เราผิด
... หรือยึดมั่นกับสภาวะที่สบายใจ ไม่สบายใจ โล่งว่าง ฯลฯ เหล่านั้น ๆ ว่าเป็นเรา มีสภาวะอย่างไรเกิดขึ้น ก็หมายเอาตลอดว่า "เราเป็น"

 

สรุปรวมคือ ยึด "ขันธ์ห้า" ว่าเป็นเรา หรือยึดว่าเราเป็นเช่นนี้จริง ๆ จัง ๆ

 

แม้แต่ตอนที่สิ้นยึดสังขารไปแล้วขณะหนึ่ง แต่ในเมื่อมันยังไม่สิ้นอวิชชา มันก็ยังแอบไปยึด "ความไม่มี ไม่เป็น" หรือยึดความไม่ยึดนั้นว่าเป็นเราอีกจนได้... นี่คือความร้ายกาจของอวิชชา...

 

ความยึดถือนี้ น่าจะเปรียบเป็นดั่ง "รากแก้ว" หรือ "เชื้ออวิชชา" ที่หมายเอาสิ่งต่าง ๆ เป็นจริงเป็นจัง แต่ในความจริงนั้นเขาก็ล้วนเป็นเพียงของเกิดดับ เป็นปรากฏการณ์ที่เป็นของธรรมชาติเดิมแท้ทั้งนั้น...

 

ทั้ง "ความมี" หรือ "ความไม่มี" ก็ล้วนเป็นธรรมชาติที่ไม่ใช่มีใครที่ไปเป็นอะไรจริง ๆ อยู่ตรงนั้น ทุกอย่างเป็นเหมือนเพียงแค่ "ขณะจิต" เมื่อไม่ติด ไม่ยึด ก็ไม่มีตัวตน ...

 

ธรรมที่หลวงตาเมตตาสอนตรงนี้ละเอียดมาก ๆ ครับ ถ้าไม่มีพ่อแม่ครูอาจารย์ชี้ให้ ก็คงหลงในสังสารวัฏอีกยาวนาน

 

กราบเท้าพ่อแม่ครูอาจารย์ที่เมตตาอบรมสั่งสอนมาตลอดครับ

 

กราบ กราบ กราบ

~~~~~~~~~~~~

 

โยม 7 : เราคือมายา

~~~~~~~~~~~~

 

หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
โอวาทธรรมจากปุจฉาวิสัชนา
18 ธันวาคม 2562

 

 

Tweet
  • Social sharing:
  • Add to Facebook
  • Add to Delicious
  • Digg this
  • Add to StumbleUpon
  • Add to Technorati
  • Add to Reddit
  • Add to MySpace
  • Like this? Tweet it to your followers!

Related items

  • 240909A-4 หยุดคิดและดิ้นรนค้นหา จะพบความจริง
  • 240909A-3 จุดเริ่มกับจุดจบคือจุดเดียวกัน
  • 240909A-2 ยอมรับธรรมชาติตามความเป็นจริง
  • 240909A-1 ปัจจุบันขณะยึดอะไรไม่ได้
  • 250307B-4 อวิชชาในผู้รู้
More in this category: « วิเวก ๓ อธิษฐานฟังธรรม และ ความสำคัญของสติ »
back to top

Search

โอวาทธรรม Archive

  • โอวาทธรรม 60-61
  • โอวาทธรรม 62
    • ม.ค. - มี.ค. 62
    • เม.ย. - มิ.ย. 62
    • ก.ค. - ก.ย. 62
    • ต.ค. - ธ.ค. 62
  • โอวาทธรรม 63
    • ม.ค. - มี.ค. 63
    • เม.ย - มิ.ย. 63
    • ก.ค. - ก.ย. 63
    • ต.ค. - ธ.ค. 63
  • โอวาทธรรม 64
    • ม.ค. - มิ.ย. 64
  • โอวาทธรรมถึงใจ
  • ประชาสัมพันธ์สื่อธรรม
  • โอวาทธรรมชุด

5BA01AEA 57EC 462B B6FB 90B6B03148ED

719CBB23 865C 4DF5 A1C8 222F752DCCBB

« June 2025 »
Mon Tue Wed Thu Fri Sat Sun
            1
2 3 4 5 6 7 8
9 10 11 12 13 14 15
16 17 18 19 20 21 22
23 24 25 26 27 28 29
30            

Facebook

เพจหลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย

บทถอนอธิษฐาน

  • บทถอนอธิษฐาน
Copyright © หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย 2025 All rights reserved.
โอวาทธรรม ต.ค. - ธ.ค. 62