โยม 1 : กราบเท้าองค์หลวงตาเหนือเกล้าค่ะ
ฟังคำสอนของหลวงตาซ้ำไปมา ... จนเริ่มพอเข้าใจโครงสร้างที่หลวงตาสอนค่ะ
ภาพในหนังพระพุทธเจ้ามหาศาสดาโลก ที่พระองค์มีสาม ร่างแล้วมารวมเป็นหนึ่ง
คือ รูป + นาม + จิตเดิมแท้
แต่ด้วยจิตเดิมแท้ที่ยังมีอวิชชา จึงยังไม่เป็นหนึ่ง คือยังมีกายโปร่งแสงแยกออกมาพาวนเกิด วนตาย ตามแรงกรรม
ศิษย์เข้าใจตามโครงสร้างอย่างนี้ค่ะ ... เมื่อเห็นว่ารูปไม่เที่ยง + นามไม่เที่ยง จึง “พยายาม” ละความยึดถือในรูปกับนาม และสมมุติต่าง ๆ ... แต่ละไม่ได้เพราะยังมีตัวการใหญ่คืออวิชชา ที่ฝังเนียนที่จิตเดิมแท้ เป็นตัวการ ... รู้ที่ออกจากจิตอวิชชาจึงเป็นรู้ที่มีผู้รู้ / อัตตาแฝงอยู่
ถึงตรงนี้มีคำสอนหลวงตาขึ้นมาว่า
“ไม่ส่งจิตออกนอก ไม่สยบติดภายใน”
“รู้ทุกคิดไม่ติดไป”
อันนี้คือรู้หนึ่ง ใช่มั้ยคะหลวงตา
กราบเท้าองค์หลวงตาขอคำชี้แนะ หากศิษย์เข้าใจอะไรผิดพลาดไปค่ะ
หลวงตา : สิ้นอวิชชา ตัณหา อุปาทาน หรือ สิ้นผู้เสวย สิ้นยึดมั่นถือมั่น ไม่มีตัวตนของผู้เสวย หรือ ไม่มีตัวตนของผู้ยึดมั่นถือมั่นทั้งสังขารและวิสังขาร ก็นิพพาน
หรือไม่หลงส่งจิตออกนอก วิญญาณก็จะไม่สยบติดสิ่งใดภายนอก
ไม่หลงส่งจิตเข้าใน วิญญาณก็จะไม่สยบติดสิ่งใดภายใน
และ ไม่ยึดมั่นถือมั่นขันธ์ห้า ซึ่งเป็นสังขารปรุงแต่ง หรือ พ้นสังขาร หรือ สิ้นยึดมั่นถือมั่นสังขาร
ไม่มีตัวตนของผู้พ้นสังขาร ไม่มีตัวตนของผู้ไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่ยึดมั่นถือมั่นแม้ความไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่ยึดมั่นถือมั่นธรรม ไม่ยึดมั่นถือมั่นนิพพาน ไม่มีตัวตนของผู้ไม่ยึดมั่นถือมั่นธรรม ไม่มีมีตัวตนของผู้ไม่ยึดมั่นถือมั่นนิพพาน
สิ้นตัวตนของผู้ยึดมั่น ก็พ้นทุกข์ (นิพพาน)
~~~~~~~~~~~~~
โยม 2 : กราบนมัสการครับ
หลายวันมานี้ ความชัดเจนที่ว่า ตัวเรานั่นแหละ คืออวิชชาตัวจริง ทั้งรูปและนามที่สังขารขึ้นมา ล้วนมาจากความหลงผิดทั้งสิ้น แม้แต่ "ความเข้าใจ" ในจุดนี้ ก็ยังเป็นสังขารเช่นกัน
ความเป็นตัวเรา ดูมันเบาบางลงอย่างบอกไม่ถูก ในทุกขณะปัจจุบันมันรู้แก่ใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้น ล้วนเป็นสังขารทั้งสิ้น ภายในกลับเงียบสงบ ความหลงไปในสังขารลดน้อยถอยลงไป แบบที่ไม่ต้องไปทำอะไรทั้งสิ้น
คงปล่อยให้สังขารเกิดขึ้นและสลายตัวไปเอง
กราบ กราบ กราบ องค์หลวงตาเป็นที่สุดครับ
หลวงตา : สาธุ ... มันเป็นเช่นนั้นเอง
~~~~~~~~~~~~~
โยม 3 : กราบขอบพระคุณเจ้าค่ะหลวงตา
ละเอียดลึกซึ้งเข้าไปอีก
แม้ไม่ใช่สองฝั่ง ก็ยังไปยึดอยู่ ว่าธรรมะเป็นแบบนี้เอง ๆ
ว่างก็ไม่ใช่ ไม่ว่างก็ไม่ใช่ ที่แท้เป็นแบบนี้เหรอ แต่สุดท้าย ไอ้ที่แท้ ๆ ก็ยังยึดอยู่
ทุกกระบวนการรู้ ไม่ใช่สองฝั่ง ไม่ใช่กลาง ๆ ไม่ใช่หยุดอยู่ อะไร ๆ ก็ไม่ใช่ แต่สุดท้ายก็ไปยึดอะไร ๆ ก็ไม่ใช่
ละเอียด ลึกซึ้งถึงที่สุดเจ้าค่ะ
กราบ กราบ กราบ
~~~~~~~~~~~~~
โยม 4 : กราบนมัสการหลวงตาเจ้าค่ะ
หนูอยากจะร้อง...โอ้แม่เจ้า!!! มันช่างละเอียดจริง ๆ เจ้าค่ะ
เมื่อไม่ยึดมั่นถือมั่นในสังขาร จึงพ้นสังขารไป และเจอวิสังขาร ตรงนี้ในขั้นแรกจะมี “เรา” ไปเป็นผู้พ้นสังขาร และเป็นวิสังขารแทน... จนมีปัญญาเข้าใจเห็นว่าตัวเราที่พ้นสังขาร ตัวเราเป็นวิสังขาร... ก็เป็นสังขารอยู่ดี จึงปล่อยวางมันไป
แล้วก็กลับกลายเป็น มี “ตัวเรา” เป็นผู้ไม่ยึดมั่นถือมั่นทั้งสังขาร และวิสังขารอีก จริง ๆ แล้ว ไอ้เจ้าตัวที่เป็นผู้ไม่ยึดมั่นถือมั่นทั้งสังขารและวิสังขาร ก็เป็นสังขารตัวละเอียดอีกที... ต้องมีปัญญารู้ทัน จึงจะไม่มีตัวตนที่ไม่ยึดมั่นถือมั่นทั้งสังขารและวิสังขาร
จึงเรียกว่านิพพาน แต่ก็จะมี ผู้ยึดนิพพานอีก... ว่าเราเป็นผู้นิพพาน เมื่อรู้เท่าทัน... ก็หลงอีกทีว่ามีเราเป็นผู้ไม่ยึดนิพพาน
สรุปได้ว่าทั้งผู้ยึดและไม่ยึดไม่ว่าจะเป็นสังขาร, วิสังขารหรือนิพพาน มันเป็นเพียงสังขารตัวนึงแค่นั้นเอง จริง ๆแล้วไม่มีตัวตนใด ๆ ไม่มีความคงที่ใด ๆ เลยในโลกนี้ ไม่มีใครเป็นอะไร ไม่มีใครได้อะไร ไม่มีใครไปไหน ไม่มีใครได้นิพพาน ไม่มีใครนิพพาน
เราทุกคนปฏิบัติมาเพื่อให้รู้ความจริงอันสูงสุดตรงนี้ เท่านั้นใช่ไหมเจ้าคะหลวงตา
กราบ กราบ กราบ
~~~~~~~~~~~~~
โยม 5 : อวิชชาตัวจริง คือตัวเรานี่แหละเจ้าค่ะ ที่อยากได้ อยากเป็น อยากมีมันทุกสิ่ง อยากได้แม้ธรรมชาติที่เค้าเป็นของเค้าอยู่แล้ว แล้วก็หลงว่าเราได้มันมา เราเป็นมันได้ ของจริงคือ ไม่มี ไม่เหลืออะไรเลย
ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์เมตตาชี้แนะ คงไม่อาจเข้าใจได้ขนาดนี้เจ้าค่ะ กราบขอบพระคุณหลวงตาเจ้าค่ะ
กราบ กราบ กราบ
~~~~~~~~~~~~~~
โยม 6 : กราบหลวงตาที่เคารพครับ
"ไม่ยึดมั่นถือมั่น" เป็นธรรมที่เด็ดขาดจริง ๆ ครับ เป็นหัวใจแห่งธรรมเลยก็ว่าได้ การปฏิบัติในชีวิตประจำวัน เวลามันหลง มันก็จะหลงอยู่ตรงนี้เป็นส่วนใหญ่ แม้ตอนที่จิตเขาไม่หลงส่งออกไปข้างนอก หรือ ไม่หลงส่งไปยุ่งข้างใน แต่เวลาที่ยังหลง ก็เพราะยังมี "เชื้อของความยึดมั่นถือมั่น" ยึดถืออะไรสักอย่างอยู่ในขณะจิตนั้น ๆ ไม่ว่าจะเป็น...
... ยึดมั่นถือมั่นใน "ความคิด" ว่าเป็นเรา
... ยึดมั่นใน "ผู้รู้" ว่าเป็นเรา
... ยึดมั่นใน "ความเห็น" ในหลักการ หรือ ในสัญญาอะไรสักอย่างว่า เช่นนี้ถูก เช่นนี้ผิด เป็นเราถูก เราผิด
... หรือยึดมั่นกับสภาวะที่สบายใจ ไม่สบายใจ โล่งว่าง ฯลฯ เหล่านั้น ๆ ว่าเป็นเรา มีสภาวะอย่างไรเกิดขึ้น ก็หมายเอาตลอดว่า "เราเป็น"
สรุปรวมคือ ยึด "ขันธ์ห้า" ว่าเป็นเรา หรือยึดว่าเราเป็นเช่นนี้จริง ๆ จัง ๆ
แม้แต่ตอนที่สิ้นยึดสังขารไปแล้วขณะหนึ่ง แต่ในเมื่อมันยังไม่สิ้นอวิชชา มันก็ยังแอบไปยึด "ความไม่มี ไม่เป็น" หรือยึดความไม่ยึดนั้นว่าเป็นเราอีกจนได้... นี่คือความร้ายกาจของอวิชชา...
ความยึดถือนี้ น่าจะเปรียบเป็นดั่ง "รากแก้ว" หรือ "เชื้ออวิชชา" ที่หมายเอาสิ่งต่าง ๆ เป็นจริงเป็นจัง แต่ในความจริงนั้นเขาก็ล้วนเป็นเพียงของเกิดดับ เป็นปรากฏการณ์ที่เป็นของธรรมชาติเดิมแท้ทั้งนั้น...
ทั้ง "ความมี" หรือ "ความไม่มี" ก็ล้วนเป็นธรรมชาติที่ไม่ใช่มีใครที่ไปเป็นอะไรจริง ๆ อยู่ตรงนั้น ทุกอย่างเป็นเหมือนเพียงแค่ "ขณะจิต" เมื่อไม่ติด ไม่ยึด ก็ไม่มีตัวตน ...
ธรรมที่หลวงตาเมตตาสอนตรงนี้ละเอียดมาก ๆ ครับ ถ้าไม่มีพ่อแม่ครูอาจารย์ชี้ให้ ก็คงหลงในสังสารวัฏอีกยาวนาน
กราบเท้าพ่อแม่ครูอาจารย์ที่เมตตาอบรมสั่งสอนมาตลอดครับ
กราบ กราบ กราบ
~~~~~~~~~~~~
โยม 7 : เราคือมายา
~~~~~~~~~~~~
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
โอวาทธรรมจากปุจฉาวิสัชนา
18 ธันวาคม 2562