โยม : กราบนมัสการองค์หลวงตาอย่างสูงเจ้าค่ะ
ช่วงนี้มันเข้าใจว่า “สังขาร” ปรุงแต่งเหมือน “สมุน” ที่หลอกล่อให้หลงทิศทาง หากหลงติดไปจะเสียท่าเจ้าค่ะ
ไม่ว่า “สังขาร” จะปรุงอย่างไร สติมั่นคงแน่วแน่ “แค่รู้” มันไม่ใช่มารู้ที่ใจ แต่เป็นรู้ด้วยใจ มันจะเห็น “หัวหน้าโจร” ที่เนียน ๆ อวิชชามัน “ไม่มีภาษา” แต่มี “อาการ” เจ้าค่ะ
ช่วงนี้ถึงพอจะเข้าใจคำสอนองค์หลวงตาจริง ๆ กับคำว่า “สังขารทั้งน้านนนนนน” ไม่ติดไม่ยึดสักอย่าง
มีอีกอย่างคือ ... แม้ความรู้นั้นก็รู้เก้อ ๆ ไม่ต่างกับสังขารอื่น ๆ ที่ปรุงอย่างเก้อ ๆ เจ้าค่ะ
จะว่าไม่มีการทำอะไรให้เป็นอะไร คือ ไม่มี “ตัวเรา” ไปทำอะไรให้เป็นอะไร (นอกจากหลงติดไป) แต่ความรู้ ความเข้าใจ มันเดินหน้าของมันเอง รู้เห็นอะไรเพิ่มขึ้น แล้วอยู่ ๆ “ความรู้” ก็เริ่มเกิดเก้อ ๆ และดับไปเก้อ ๆ
หากมีสิ่งใดที่เป็นความประมาทต่อกิเลสและประมาทต่อธรรม หนูขอความเมตตาจากองค์หลวงตาโปรดดุด่า ว่ากล่าว กำหราบ ซัดได้เลยนะเจ้าคะ
กราบ กราบ กราบ เจ้าค่ะ
มีอีกอย่างนะเจ้าคะ ตอนที่องค์หลวงตากล่าวถึงความสำคัญของการแผ่เมตตาในแต่ละสถานที่ ข้างในก็จะพูดว่า “ปักหมุด” มันเข้าใจว่านี่คือการปักหมุดพระศาสนาเจ้าค่ะ ตอนนี้ก็จะเป็นแบบนี้เจ้าค่ะ คือ อยู่ ๆ ก็มีคำขึ้นมาแบบนี้เจ้าค่ะ
หลวงตา : สาธุ
รู้อย่างนี้นี่แหละ
รู้เพื่อเข้าใจถึงใจในสัจธรรมความจริง ว่าไม่มีตัวตนของเราที่คงที่
ธรรมชาติมีแต่ “สังขาร” เกิดดับในธรรมชาติไม่เกิดดับ (วิสังขาร) ทั้งน้านนนนน....... ไม่มีตัวตนของเราอยู่ในสังขารและวิสังขาร แม้เพียงสักน้อยหนึ่ง นิดหนึ่ง ปรมาณูหนึ่งเลย
แต่เพราะความโง่ หรือ ความไม่รู้เห็นตามสัจธรรม (อวิชชา) ทำให้มีความเห็นผิด (มิจฉาทิฏฐิ) จากสัจธรรม จึงหลงปรุงแต่งยึดถือสังขารธรรมหรือวิสังขารธรรมเป็นเรา ตัวเรา ตัวตนของเรา ดิ้นรนทะยานอยาก อยากได้ อยากเอา อยากเป็น อยากพ้นทุกข์ อยากสำเร็จ อยากบรรลุ อยากนิพพาน อยาก....ๆๆๆๆๆๆ
เมื่อเปลี่ยนจากมิจฉาทิฏฐิ คือ ความความเห็นผิดจากสัจธรรมความจริง เป็นสัมมาทิฏฐิ คือ มีความเห็นถูกต้องและใจยอมรับตามความเป็นจริง หรือ หายโง่แล้ว
จึงสิ้นความหลงยึดถือสังขารธรรมหรือวิสังขารธรรม ว่า เป็นเรา ตัวเรา ตัวตนของเรา
ความคิด ความปรุงแต่งดิ้นรนทะยานอยาก โดยมีเรา ตัวเราเป็นผู้มีส่วนได้เสีย หรือ เพื่อแสวงหาผลประโยชน์สิ่งใดสิ่งหนึ่ง แม้ความว่าง ธรรม หรือ นิพพาน มาให้ตัวเรา ก็ดับสนิทลง หรือ อวิชชา ตัณหา อุปาทานดับสนิทไม่มีส่วนเหลือ (นิจฉาโต ปรินิพพุโตติ)
ความทุกข์ทั้งมวลในใจก็ดับลง เรียกว่า “นิพพาน”
ดังนั้น ความรู้ทั้งหมด ไม่ได้รู้เพื่อยึดถือ แต่เพื่อสิ้นความหลงยึดมั่นถือมั่น
หรือเพราะสิ้นความหลงว่ามีตัวเราได้ ตัวเราเป็น ตัวเราบรรลุ ตัวเราถึง ตัวเราสำเร็จ ตัวเราพ้นทุกข์ ตัวเรานิพพาน หรือใจของเราว่าง ใจของเราบริสุทธิ์ ใจของเราพ้นทุกข์ ใจของเรานิพพาน
จึงพ้นทุกข์ (นิพพาน)
โยม : น้อมกราบแทบเท้าองค์หลวงตาเจ้าค่ะ
“สัจธรรม” ถึงใจ เจ้าค่ะ
กราบ กราบ กราบ เจ้าค่ะ
หลวงตา : สาธุ
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
โอวาทธรรมจากปุจฉาวิสัชนา
25 กันยายน 2562