โยม 1 : ขอเรียนถามหลวงตาว่า ถ้านิพพาน เหลือแต่ธาตุรู้ไปรวมตัวกับจักรวาล แล้วธาตุรู้จะไปรู้อะไรต่อคะ โยมสงสัยค่ะ
โยมทีมงาน : ตอบคำถามโดยทีมงาน
หากเกิดความสงสัยใคร่รู้ แล้วติดไปดิ้นรนค้นหาคำตอบ ย่อมมีสิ่งให้สงสัยอยู่ร่ำไป ไม่เลิกไม่รา
ไม่มีสิ้นสุด หมดโอกาสสิ้นสงสัย
ธรรมะมีเพียงรู้ปัจจุบันขณะ ไม่ติดไม่ยึดปัจจุบันขณะ คือ รู้ว่าขณะปัจจุบันมี "ตัวเรา" ที่สงสัยใคร่รู้คำตอบ ไม่ยึดถือเป็นตัวเราจริง ๆ จัง ๆ
เพราะ "ตัวเรา" ที่สงสัยใคร่รู้นี้เกิด ๆ ดับ ๆ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ปล่อยให้ "ตัวเรา" นี้เกิดเก้อ ๆ ดับไปอย่างเก้อ ๆ จบลงที่ "รู้" ปัจจุบันขณะ ไม่ติดไม่ยึดสิ่งใด... ก็จบที่ใจ ไม่มีผู้ทุกข์
เช่นนี้จึงเป็นทางแห่งความพ้นทุกข์
โยมทีมงาน (กราบเรียนถามหลวงตา) : แต่มันมีความรู้ออกมาอีกเจ้าค่ะ
โยมทีมงาน (ต่อ) :
ส่วนความจริงตามธรรมชาตินั้น... ไม่มีสิ่งใดเป็นอะไรจริง ๆ เลย หมายความว่า สรรพสิ่งนั้นไร้ความหมายอย่างสิ้นเชิง
เมื่อมีอวิชชาจึงมีความหลงปรุงแต่งสร้างโลกขึ้นมา มีสิ่งนั้นสิ่งนี้จริง ๆ ขึ้นมาในใจ
เมื่ออวิชชาดับไป สิ้นหลงว่ามี "ตัวตน" อยู่ในธรรมชาติ "โลก" ที่เกิดจากการหลงปรุงแต่งขึ้นก็ดับลง
เมื่อธาตุแตกขันธ์ห้าดับลง ธาตุรู้กลืนเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล ธาตุรู้ยังคง "รู้" ทุกสรรพสิ่ง แต่ทุกสรรพสิ่งที่ถูกรู้ไม่ได้มีความหมาย เป็นเพียง "สิ่ง" ๆ นึงที่เกิด ๆ ดับ ๆ
แม้ "รู้" เองก็ไม่ได้มีความหมายอะไร แค่รู้ว่าทุกสิ่งนั้นเกิด ๆ ดับ ๆ แต่ตัวมันไม่ปรากฏและไม่เกิดไม่ดับ
เป็นเพียง "ความรู้" ที่ปราศจาก "ตัวตน" ของผู้รู้
เป็น "ความรู้" คู่ธรรมชาติซึ่งมีอยู่แล้วเป็นอมตะ
ยังคงมีต้นไม้ มีน้ำ มีอากาศ มีก้อนหิน มีสัตว์ ฯลฯ
แต่ไม่เรียกสิ่งเหล่านี้ว่าเป็นอะไรเลย
สิ้นโลกเหลือธรรม หมายถึงว่า.....
สิ้นโลก คือ สิ้นปรุงแต่งว่า "สิ่ง" ที่เกิด ๆ ดับ ๆ นั้นว่าเป็นอะไร สิ้นความหมาย สิ้นคุณค่า สิ้นสมมุติที่ใจ
เหลือธรรม คือ เหลือธรรมที่ไม่ปรุงแต่งซึ่งเป็นธรรมชาติเดิมแท้ที่ไม่ได้มีอะไรเป็นอะไร ไม่เกิดไม่ดับ
ทุกสรรพสิ่งที่ปรากฏจึงเป็นเพียง "สิ่ง" เกิด ๆ ดับ ๆ ของมันเช่นนั้นเอง เหมือนแสงระยิบระยับเกิด ๆ ดับ ๆ ในความว่าง ไม่มี "ความหมาย" หมดคำพูดที่จะให้เรียก หรือ กล่าวถึงว่าอะไรเป็นอะไรอีกต่อไป
หลวงตา : รู้ ผู้รู้ที่รู้สึกว่าเราเป็นผู้รู้ หรือ ผู้รู้เป็นเรา
ถอนเราออกจากรู้
เหลือแต่ "รู้" ที่เป็นธรรมชาติบริสุทธิ์
มันเป็นธาตุรู้ที่บริสุทธิ์ตามธรรมชาติ เพราะไม่มีเราหลงยึดถือครบครองเป็นเจ้าของธรรมชาติ
เหมือนดังที่หลวงพ่อชา สุภัทโท กล่าวว่า
"ถอนไส้ตะเกียงออก แสงสว่างก็ดับหมด"
คือ ถอนความเห็นผิด (มิจฉาทิฏฐิ) ที่หลงยึดมั่นถือมั่นขันธ์ห้าว่า เป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นของเรา หรือ
หลงยึดมั่นถือมั่นจิต ใจ วิญญาณ หรือ ธาตุรู้ ว่าเป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นของเรา เสีย
อวิชชา ตัณหา อุปาทาน ก็ดับหมด
"ธาตุรู้" ซึ่งเป็นธาตุตามธรรมชาติ เมื่อไม่มีเรา หรือ ตัวเราหลงยึดถือครอบครองเป็นเจ้าของเขา จึงบริสุทธิ์
เป็นความรู้รวมกับความว่างของธรรมชาติหรือจักรวาล
รู้ว่าสิ้นสมมติ
รู้ว่าสิ้นผู้เสวย หรือ สิ้นผู้ยึดมั่นถือมั่น
ตลอดกาล
หลวงตา (ต่อ) :
ถ้าโยมพิจารณาให้ดี ๆ.... จะเห็นว่า มันมีสังขารปนอยู่ในธรรมชาติของธาตุรู้ คือ ความรู้สึกว่าเราเป็นคนรู้ หรือ ผู้รู้เป็นตัวเรา
รู้จึงไม่บริสุทธิ์
(หมายเหตุ : อ่านโอวาทธรรมหลวงพ่อชา สุภัทโท เรื่อง ถอนไส้ตะเกียงออกฯ จาก fb : พุทธมหาเจดีย์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ภูผาแดง ด้านล่างนี้)
https://www.facebook.com/539401609438800/posts/2514763075235967?sfns=mo
~~~~~~~~~~~~~
โยม 2 : หลวงตาคะ
ทุกวันนี้ 'รู้' ออกจาก 'เรา'... และ 'เรา' ก็เป็น 'รู้' นั้น
ทุกอย่างที่ออกจากมาจากรู้ ก็ยึดถือว่าเป็นเรา เป็นของเรา เป็นตัวตนของเรา
หลงความคิด ว่าเป็นเรา แล้วจะเอาเราในความคิด ไปให้ได้ ไปให้ถึง ไปให้เป็น
การปฏิบัติจึงมัวแต่หลงจะเอา ธุลี ไปเป็นหนึ่งเดียวกับ จักรวาล
แท้จริง... ยึดถือทุกอย่าง และ ไม่เคยปล่อยวางสิ่งใด
ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาทุกความรู้สึกที่เคย "นึกเอา" ว่าหายไป กลับขึ้นมาใหม่ทั้งหมด
ถึงได้พอเห็นว่า ความทุกข์ที่เคยคิดว่าทุกข์หายไป ก็เพียงเพราะ "การกดข่ม บังคับ" ไว้ด้วย "กำลัง" ที่แม้แต่เจ้าตัวไม่ได้สังเกตเสียด้วยซ้ำ
ยิ่ง "พยายาม" เรียนรู้เท่าไหร่... การ "กลบ เกลื่อน เกลี่ย พยายามแก้" อาการของจิต ยิ่ง "เนียน" ขึ้นเรื่อย ๆ
นิสัย สันดาน ความเคยชิน นี่เอง จึงเป็นพ่อแม่ของอวิชชา...
แท้จริง หลงปฏิบัติกลับด้าน
เพราะพยายามรักษาตัวเอง
หลวงตาคะ แสงสว่างของปัญญา ไม่ใช่ความรู้จากความจำ
แต่กลับเป็น การ "ยอมรับความจริง จากใจ"
ขอก้มกราบนอบน้อมพระสัทธรรม...
ขอก้มกราบนอบน้อมหลวงตาพ่อแม่ครูอาจารย์ที่เมตตาพยายามเขี่ยธุลีในดวงตาศิษย์ตลอดมา
ขอโอกาสนี้กราบนอบน้อมถวายตัวเป็นลูกพระพุทธเจ้า ขอเปิดใจรับธรรม รับสัจธรรมความจริง ไม่ขอสงวนรักษาตัวเอง อีกต่อไป
หลวงตา : สาธุ
~~~~~~~~~~~~~
โยม 3 : สาธุ
กำลังไลน์ส่งการบ้านตรงนี้เลยเจ้าค่ะ
หลวงตาส่งมาพอดี
หลังจากมันพิจารณาถึงจุดของผู้รู้ และธาตุรู้
ทุกสิ่งที่ รู้ ไม่ว่าจะละเอียดปานใด เป็นผู้รู้ที่เป็นสังขารทั้งหมด สิ่งที่เป็นผู้รู้ตัวจริง กลับหาไม่เจอ แต่มันก็ต้องมีอยู่ มันคือ ตัวไหน และอยู่ที่ใด
แต่พิจารณาไปมา ก็ไม่เจอ คือ รู้ว่ามีอยู่ แต่ไม่อาจพบมันได้ แม้ในจิต
มันพบแต่จิตและ วิญญาณขันธ์ที่เป็นผู้รู้จิต (ตัวปลอม) เท่านั้น
มันจึงเห็นความจริง ว่า ที่แท้แล้ว ผู้รู้ตัวจริง มันรวมอยู่กับผู้รู้ตัวปลอมที่เป็นวิญญาณขันธ์นั่นแหละ มันอยู่รวมกัน และไม่อาจแยกได้แม้ใช้ "ตาใจ" เข้าไปรู้เหมือนแยกสังขารอื่น ๆ
มันคล้าย ๆ กับว่า...
สังขารอื่นมันถูกแยกออกจาก ผู้รู้ได้ แต่ผู้รู้ตัวจริง กับผู้รู้ตัวปลอมกลับแยกออกจากกันไม่ได้แบบนั้น
แต่ถอนไส้ตะเกียง ก็หมายถึงถอนด้วยสติปัญญาต่างหาก ที่เห็นว่า ของปลอมรวมกับของจริง
ของปลอมเป็นเพียงสังขาร และมันก็ปล่อยมันเป็นสังขารไป ไม่ไปยึดถือมัน
แล้วมันก็จะสิ้นคำพูดไปเองเจ้าค่ะ
และไม่มีผู้ใด พยายามไปแยกผู้รู้ตัวปลอมและตัวจริงอีกแล้ว มีแต่การน้อมพิจารณา ความเป็นสังขารเนือง ๆ ตามแต่จะระลึกได้เจ้าค่ะ
***** หลวงตา : นอกจะทิ้งสังขารหมดแล้ว ก็ต้องไม่หลงยึดถือ "ผู้รู้" อีก
มิฉะนั้น มันจะหลงเอาสังขารไปยึดถือ "ผู้รู้" อีก
~~~~~~~~~~~~~
โยม 4 : น้อมกราบองค์หลวงตาเจ้าค่ะ
ถึงวันนี้รู้ว่าพระพุทธองค์สอนความไม่มีให้สัตว์โลกทั้งหลาย ความไม่มีอันไม่มีที่สุด ไม่มีประมาณ ว่างเปล่าจากตัวตน บุคคล เรา เขา และเป็นความบริสุทธิ์ของมันเอง มันเกินจากอัศจรรย์นะคะ ที่สามารถเอามาสอนได้ ผู้เรียนถ้ามีตัวตนก็จะไม่ถึง ถ้าไม่มีตัวก็จะเข้าถึง เรียนแล้วรู้แล้วก็ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น ไม่ได้ฉลาดหรือเป็นอะไร ๆ แค่หายโง่จริง ๆ คะ
~~~~~~~~~~~~~
โยม 5 : กราบค่ะ หลวงตา หนูเข้าใจถูกไหมคะ
แม้นแต่ ปัญญา ที่ รู้แจ้ง ก็ ไม่เอา ค่ะ ใช่ไหมคะ
หลวงตา : สาธุ
ได้แต่รู้แจ้ง
ไม่ใช่เรารู้แจ้ง
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
โอวาทธรรมจากปุจฉาวิสัชนา
12 กันยายน 2562