พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอริยสงฆ์ทั้งหมดล้วนแต่เป็นผู้มีสติ สมาธิ ปัญญา ศรัทธา ความเพียร และ ขันติ ฝึกฝนตนเองด้วยความยากลำบาก จนอวิชชา ตัณหา อุปาทาน หรือ อุปกิเลสที่จรมาบังใจดับสนิทไป จึงพบใจหรือจิตบริสุทธิ์ ประโยชน์ตนถึงที่สุดแล้ว ทรงมีพระเมตตาแก่ผู้อื่นเป็นอัปปมัญญา แผ่ไพศาลให้แก่มวลสรรพสัตว์ดุจแสงสว่างของพระอาทิตย์
ขณะมีชีวิตอยู่ ทุกท่านย่อมน้อมเอาคุณของพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณอันไม่มีที่สุดไม่มีประมาณ แผ่เมตตาให้แก่สรรพสัตว์ที่มีมาแล้วในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตทั้งหมด เป็นพลังจิตที่บริสุทธิ์รวมกับพลังธรรมชาติบริสุทธิ์ในธรรมชาติในจักรวาลอันไม่มีที่สุดไม่มีประมาณ เพื่ออนุเคราะห์เกื้อกูลแก่สรรพสัตว์ให้พ้นจากทุคติภพ พ้นจากทุกข์
เพราะฉะนั้น จงน้อมเอาพระเมตตาอันไม่มีที่สุดไม่มีประมาณนั้นมาสู่ใจ อธิษฐานให้พ้นทุกข์ ให้เกิดสติ สมาธิ ปัญญา ศรัทธา ความเพียร ขันติ เป็นสัมมาทิฏฐิ วิชชา ดับมิจฉาทิฏฐิ อวิชชา ตัณหา อุปาทานโดยถาวรสิ้นเชิงตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปด้วย... เทอญ
แล้วน้อมนำเอาพลังจิตที่บริสุทธิ์ซึ่งรวมกันเป็นหนึ่งเดียวกับพลังธรรมชาติบริสุทธิ์ มารวมกับเมตตาของเรา แล้วแผ่เมตตาให้แก่เจ้ากรรมนายเวร และสรรพสัตว์ทั้งหมดไม่ว่าอยู่ใกล้หรือไกลเพียงใด เป็นอัปปมัญญา ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ให้เขาพ้นจากทุคติภพ พ้นจากทุกข์ เกิดสติ สมาธิ ปัญญา ศรัทธา ความเพียร ขันติ เป็นสัมมาทิฏฐิ วิชชา ดับมิจฉาทิฏฐิ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน โดยอัตโนมัติตลอดเวลา
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
โอวาทธรรมจากปุจฉาวิสัชนา
11 สิงหาคม 2562