โยม : กราบนมัสการหลวงตาค่ะ หนูขอส่งการบ้านค่ะ
เมื่อวันก่อนหนูฟังไฟล์เสียง หลวงตาบอกว่าบางทีเวลานอน เรายังได้ยินเสียงกรนของตัวเอง แสดงว่าใจเราไม่ได้หลับไปด้วย หนูเป็นแบบนี้บ่อยค่ะช่วงหลัง คือจะได้ยินเสียงกรนเบา ๆ และเสียงลมหายใจตัวเองตอนนอน แต่พอตื่นขึ้นมาจริง ๆ ก็จะถามตัวเองสรุปเราได้นอนมั้ยนี่ แต่ก็ไม่ได้รู้แจ้งว่ามันคืออีกตัวที่เด้งออกมารู้ค่ะ แบบนี้แสดงว่า มันเหมือนยังมีตัวใส ๆ ออกมาอยู่ใช่มั้ยคะ หลวงตา?
หลวงตา : ....ได้ยินเสียงกรนเบา ๆ และ เสียงลมหายใจตัวเอง.....
ตัวเราที่นอนกรน เป็นขันธ์ห้า เป็นตัวสมมติ
ส่วน “ผู้รู้” ที่ได้ยินเสียงตัวเราที่นอนกรน และ เสียงลมหายใจ เป็นได้ทั้งสมมติ และ วิมุตติ คือ
ถ้า “ผู้รู้” พูดพากษ์ในใจได้ เป็นขันธ์ห้า เป็นวิญญาณขันธ์ทำงานร่วมกับเจตสิก คือ เวทนา สัญญา และสังขาร ซึ่ง เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวเราที่แท้จริง เป็นเราตัวปลอม และ เป็นผู้รู้ตัวปลอม
ส่วน “ผู้รู้” ตัวจริง เป็น “เรา” ที่แท้จริง เป็น”ใจ” ที่เป็นวิสังขาร เป็นธาตุรู้ เป็นอสังขตธาตุ ธรรมธาตุ มหาสุญญตาธาตุ นิพพานธาตุ เป็นวิมุตติ
ดังนั้น เรา แท้จริง ซึ่งเป็นวิมุตติ จะรู้ว่า ...
เรา คือ ใคร
เรา เป็นอย่างไร
เรา เป็นสิ่งที่มีความรู้ในตัวเอง
เรา ไม่มีตัวตน
เรา ไม่อาจคิด หรือ ปรุงแต่งได้
เรา ไม่มีอาการเกิดดับ หรือ ไม่เกิด ไม่ตาย
เรา ไม่มีอาการสุข ทุกข์
เรา ไม่อาจยึดถือ หรือ ทำกริยาปล่อยวางได้
เรา เป็นมหาสุญญตาธาตุ เป็นเหมือนความว่างในธรรมชาติ
เรา เป็นนิพพานธาตุ
เมื่อเราที่แท้จริง เป็นวิสังขาร เป็นอสังขตธาตุ เป็นธรรมธาตุ เป็นมหาสุญญตาธาตุ เป็นนิพพานธาตุแล้ว ทำไมจึงเอาตัวเราไปดิ้นรนแสวงหานิพพานมาให้ตัวเรา หรือ เอาตัวเราไปยึดถือนิพพานอีก
มันเป็น “อวิชชา” จึงหลงผิด ว่า เรา กับ นิพพาน เป็นคนละตัวกัน โดยหลงเอา “เรา” ที่เป็นขันธ์ห้า ซึ่งเป็นตัวสมมติ ไปดิ้นรนแสวงหานิพพานมาให้ตัวเรา
ถึงแม้จะดิ้นรนแสวงหาเป็นกัป ก็ไม่อาจเอานิพพานมาให้เราที่เป็นขันธ์ห้า ซึ่งเป็นตัวสมมติได้ เพราะ เราที่แท้จริง เป็น นิพพานโดยธรรมชาติอยู่แล้ว
จะเปรียบเทียบให้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้น ดังนี้.....
ตา มองเห็น รูป แต่
ตา มองไม่เห็น ตา
แม้ ตา จะไม่เห็น ตา แต่
ตา รู้ว่า สิ่งใด ๆ ทั้งมวลที่เห็นได้ ไม่ใช่ ตา
ตา จึงไม่เคยหลงเอาสิ่งที่เห็นได้ทางตา มาเป็น ตา เลย
ตา ก็คงเป็น ตา ตลอดเวลา เพราะ
***** ตา รู้จัก ตา
ใจ ก็ทำนองเดียวกัน
ใจ รู้ได้ว่ามีอะไรเกิดดับใน ใจ แต่
ใจ ไม่เห็น ใจ เหมือนกับ ตา ไม่เห็น ตา
ถึงกระนั้น ใจ ก็ไม่เคยหลงเอาอย่างอื่นมาเป็น ใจ
เพราะ...ใจ รู้จัก ใจ
และรู้ว่า สิ่งทั้งมวลที่ใจรู้ และ เกิดดับในใจ ไม่ใช่ “ใจ”
ดังนั้น ใจ เพียงแค่รู้จัก ใจ เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ก็จะไม่หลงเอา “สังขารที่ถูกรู้” และ เกิดดับในใจ มาเป็น “ใจ” อีกเลย
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
โอวาทธรรมจากปุจฉาวิสัชนา
9 พฤษภาคม 2562