โยม : กราบนมัสการองค์หลวงตาค่ะ ตอนแรกตั้งใจไปกราบหลวงตา ช่วงวันที่ 3 - 5 แต่มีเหตุทำให้ไม่ได้ไปเนื่องจากคุณพ่อป่วยกระทันหัน เลยต้องอยู่ดูแลค่ะ
หนูเพิ่งนึกถึงหลวงตาเองค่ะ เพราะคุณพ่อนอนป่วยอยู่ และถามว่าเราแค่ดูลมหายใจใช่มั้ย หนูเลยตอบไปว่าเราดูลมหายใจก็มีเราเป็นผู้ดูอยู่ดี สุดท้ายตอนตายมันก็ยังมีตัวตนหลงเหลือ จริง ๆ ถ้าเข้าใจว่าเราก็ไม่มี ทุกอย่างมันดำเนินไปของมัน ถึงวันดับทุกอย่างก็ดับไป มันก็ไม่มีอะไรเลย สิ่งที่เกิดในโลกนี้ ช่วงเวลาที่เรามีชีวิตอยู่ก็แค่ฉาก ๆ หนึ่ง แล้วก็จะจบไปเหมือนเปลวไฟที่หายไปในอากาศ ก็แค่รับรู้สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ไม่ยึดมั่นถึอมั่นอะไร ตอนตายก็ปล่อยไปอะไรจะเกิดก็ตามนั้น ไม่มีอะไรต้องกังวลหรือห่วงอีก
ยังนึกถึงหลวงตาอยู่เลยค่ะว่า หลวงตาเคยสอนไว้ว่าอย่างไรบ้าง ก็นึกถึงคลิปของคุณหญิง ตอนที่อยู่รพ. แล้วหลวงตาก็เล่าว่าจะมีตัวที่ดิ้นรนกุกกัก ๆ จะออกจากร่าง ก็เลยบอกคุณพ่อไป แล้วก็ให้ท่านรับรู้ถึงตัวกุกกัก ๆ นี้ แต่ก็แค่รับรู้ไม่ไปอะไรกับมันค่ะ
แล้วหลวงตาก็เมตตาส่งไลน์เรื่องการไม่เหลือตัวตนมาพอดีค่ะ กราบขอบพระคุณองค์หลวงตานะคะ หนูจะนำไปอ่านให้คุณพ่อฟังด้วยค่ะ
หลวงตา : สาธุ... ประเสริฐมาก... สามารถนำประสบการณ์ตรงจากการเพียรปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนตลอดมานั้น มาใช้ได้จริง นำมาใช้จริงกับโยมพ่อในวันนี้ ซึ่งเป็นเวลาที่สำคัญที่สุด ที่อยู่ช่วยท่าน
การตอบแทนพระคุณบิดา มารดาอะไร ก็ไม่ประเสริฐเท่าให้ท่านได้รู้ธรรม เห็นธรรม พบธรรม ถึงธรรม
“รู้ธรรม เห็นธรรม” คือ รู้แจ้งแก่ใจทุกปัจจุบันขณะว่า อะไรเป็น “สังขาร” อะไรเป็น “วิสังขาร” และรู้ว่าทั้งสังขาร และ วิสังขาร ต่างก็เป็นธรรมชาติ ไม่มีใครเป็นเจ้าของ และ ไม่ได้เป็นของเรา เราไม่ได้เป็นนั่น นั่นไม่ได้เป็นตัวตนของเรา
สังขาร คือ สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหมดนั้นย่อมดับไปเป็นธรรมดา เช่น ขันธ์ห้า คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
“วิสังขาร” ซึ่งเรียกว่า “ใจ” เป็นธรรมธาตุ หรือ เป็นธรรมชาติเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่ไม่เกิด ไม่ดับ เรียกว่า “เอโกธัมโม” หรือ “เอกะธัมโม” มันเป็นเหมือนกับความว่างของธรรมชาติหรือจักรวาลอันไม่มีขอบเขต เป็นที่เกิดดับของสังขารทั้งหมด
ถ้าถามคนทั้งหลาย ไม่ว่าเชื้อชาติ ศาสนาใด ว่า “ใจ” อยู่ที่ไหน ก็จะชี้เข้าไปภายในตัวเอง ว่าอยู่ในหัว อยู่ตรงกลางลำตัว หรือ อยู่ในหัวใจเนื้อ
*****แต่ความจริง ขันห์ห้าเกิดดับอยู่ในใจ ที่ไม่เกิดดับ
“พบธรรม” ก็คือ พบ “ใจ” ซึ่งเป็นธรรมธาตุ เป็นธรรมชาติที่ไม่เกิด ไม่ดับ ได้แต่รู้ แต่ไม่อาจคิด หรือปรุงแต่งได้ เรียกว่า พุทธะ คือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เป็นวิสังขาร อสังขตธาตุ อสังขตธรรม นิพพานธาตุ สุญญตาธาตุ....
“ถึงธรรม” ก็คือ ถึง “ใจ” ตลอดเวลา เรียกว่า กินอยู่กับใจ นั่ง ยืน เดิน นอนอยู่กับใจ ทำงานอยู่กับใจ ไปไหนมาไหนอยู่กับใจ ขณะตายอยู่กับใจ
คำว่า “อยู่กับใจ” หรือ “อยู่กับธรรม” คือ อยู่กับ “สิ่ง” ที่เป็นธรรมชาติที่ไม่เกิดดับ ได้แต่รู้ ผสมอยู่กับธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ ธาตุอากาศ รวมเป็นขันธ์ห้า ซึ่งเป็นสังขารที่ไม่เที่ยง เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
แต่ “สิ่ง” ที่เรียกว่า “ใจ” นี้ เป็น “วิสังขาร” คือ ไม่อาจคิด หรือ ปรุงแต่งได้ แต่ไม่มีตัวตน ไม่มีรูปลักษณ์ ไม่มีเครื่องหมาย ไม่มีที่ตั้ง ไม่ใช่ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ ไม่ใช่อรูปฌาน ไม่เกิด ไม่ดับ ไม่มีการไป ไม่มีการมา ไม่มีการหยุดอยู่นิ่ง
ไม่อาจถูกทำลาย เพราะไม่มีอะไรปรากฏให้ถูกทำลายได้
ไม่ได้มีขึ้นเพราะการเกิด ไม่ได้ดับไปเพราะการตาย หรือ ไม่เกิด ไม่ตาย
ส่วนที่เกิด ตาย นั้นเฉพาะส่วนที่เป็นสังขาร หรือ ส่วนที่เป็นรูปร่างที่เปลี่ยนในทุกภพชาติเท่านั้นที่ตายแตกดับ
*****ถ้าทุกปัจจุบันขณะ ไม่หลงไปอยู่กับสังขาร หรือ ไม่หลงไปเป็นสังขาร หรือ ไม่หลงติดไปกับสังขาร หรือ ไม่หลงไปยึดถือสังขาร ก็จะพบใจ อยู่กับ “ใจ” ซึ่งเป็นธรรมธาตุ หรือ นิพพาน หรือ สุญญตา โดยอัตโนมัติ
แม้ขันธ์ห้าตายแตกดับแล้ว ก็อยู่กับใจ หรือ อยู่กับธรรมธาตุ ที่ไม่เกิด ไม่ดับ อย่างเป็นอมตะ ตลอดกาล โดยไม่เหลือตัวตนโปร่งแสงออกจากร่างไปเกิดตามกรรมอีกต่อไป
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
โอวาทธรรมจากปุจฉาวิสัชนา
4 พฤษภาคม 2562