โยม : สาธุเจ้าค่ะ พิจารณากายเป็นอสุภะ มันไม่ได้เจ้าค่ะ มันไม่ไปจับ ไม่มีเถยจิตอินกับเลย แต่พิจารณาจิตทุกดวงเป็นอสุภะ มัน work อยู่เจ้าค่ะ
เลยรู้ว่า ... จากเดิมที่รู้จิตทุกดวงนั้น ก็คือ รู้ไปติดไป รู้ไปด้วยคิดไปด้วย รู้ไปด้วยยึดไปด้วยเจ้าค่ะ อันนี้พอเห็น มันก็น้อมเห็นจิตเป็นทุกข์เป็นโทษเลย
ไม่มีเถยจิต ก็ให้สติปัญญารู้ว่า จิตที่ถูกเห็นเป็นอสุภะในตัวมันเองอยู่ ยิ่งถ้ามีเถยจิตไปร่วมด้วยนี่ ทุกข์โทษเป็นสองกระทงเจ้าค่ะ
เหมือนมันสงบระงับมาก สติ สมาธิไม่คลอนแคลนและต่อเนื่อง มันเป็นผลของโยนิโสมนสิการ ซึ่งเป็นความสงบระงับยาวนาน มากกว่าที่โดนกระแทกจากภายนอก เป็นปรโตโฆสะ ซึ่งอย่างหลังมันกระแทกแรง เข้าถึงความไม่ปรุงแต่งได้เลยในขณะจิตหนึ่ง แต่จะเด้งกลับมาในเวลาไม่นานมากเจ้าค่ะ
พิจารณาว่าต้องอาศัยทั้งสองอย่างร่วมกัน เป็นเหตุปัจจัย ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้เจ้าค่ะ
ตัวเถยจิตนี่แหละคือต้นจิต ตัวเราที่ไปร่วมและเริ่มต้นเจตนา
รู้สึกถึงมันชัดเจนที่สุด ตอนขับรถไป รพ. แล้วมันกำลังจะฝ่าไฟเหลือง มันมีตัวเรา วืด เข้าไปรวมเลย ตะลึงเลยเจ้าค่ะ เพิ่งรู้ว่า “อ้าว นี่มีจิตไปรวม เจตนาฝ่าไฟเหลืองนี่หว่าเนี่ย” ถ้าเป็นไฟแดง มีใบสั่ง เป็นกรรมมาถึงบ้านแน่นอนเจ้าค่ะ เพราะมีเจตนาแอบแฝง
หลังจากนั้น มันรู้สึกถึงเถยจิต ถี่มาก ทั้งที่เป็นตัวเริ่มต้น และตัวที่ไปร่วมกับมันเจ้าค่ะ
หลวงตา : ถ้าไม่ทิ้งธรรมทุกปัจจุบันขณะ ก็จะมีสติ ปัญญาพิจารณาเห็นสัจธรรม ความจริง ในอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ของทุกสิ่ง รวมทั้งผู้ที่หลงมีตัวตนเข้าไปยึดถือ หรือ พยายามปล่อยวาง พยายามทำอะไร ... เพื่อจะให้เป็นอะไร
เมื่อรู้เห็นแจ้งชัดด้วยใจของเจ้าของแล้ว ก็จะสิ้นหลงคิด หลงปรุงแต่ง
กลายเป็น “ใจ” ที่ไม่ปรุงแต่ง (วิสังขาร) มันเป็นความสงบ เงียบ สงัดไปทั้งธรรมชาติภายในและภายนอก ไม่ปรากฏการปรุงแต่งอย่างใด ๆ นั้น
มันไม่ใช่ทั้งอวิชชา (โง่) และ วิชชา (ฉลาด)
มันไม่มีสมมติบัญญัติในนั้น
ไม่มีสมมติบัญญัติว่าเป็น สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา
มันพ้นแล้วจากคำพูดใด ๆ
อย่าไปหาเหตุผลใดกับมัน
มันจะหลงคิด หลงปรุงแต่งทันที
มันเป็นปัจจัตตัง รู้แก่ใจเอง
เมื่อพบ "ใจ" ที่ไม่สังขาร (วิสังขาร) ใหม่ ๆ จะตื่นเต้น หลงยึดถือมัน แต่เมื่อพบกันบ่อย ๆ ... ก็จะรู้จักกันจนเป็นความเคยชินแล้ว แล้วจะสิ้นยึดถือไปเอง เหมือนกับเจอแฟนครั้งแรก ๆ ... ก็จะตื่นเต้น มีแรงดูดอย่างแรง แต่พอแต่งงานอยู่ด้วยกันจนมีลูกหลานแล้ว อารมณ์หรือความรู้สึกแบบรักแรกพบ มันก็ค่อย ๆ จืดจางไป
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
โอวาทธรรมจากปุจฉาวิสัชนา
8 เมษายน 2562