กิเลส ความทุกข์ ความสุข ความโศกความเศร้า ความสบายใจ ความไม่สบายใจ หรือว่าความผ่องใส ความเศร้าหมอง ความคิดความปรุงแต่งต่าง ๆ
มันก็เกิดที่ใจดับที่ใจ
เฝ้าสังเกตเห็นที่เกิดที่ดับของมันจริง ๆ อย่าไปไล่ตามความคิดหรือจิตที่ปรุงแต่ง ไล่ไม่ทันหรอกเพราะมันเร็วมาก
อย่าไปไล่ดับความคิด ให้เห็น "ที่เกิดที่ดับ" ของมัน ว่ามันเกิดที่ไหนดับที่ไหน
จะรู้ว่าที่เกิดดับของมัน มันมาจากความว่างเปล่า มันว่างเปล่าจริง ๆ เหมือนดั่งท้องฟ้า เหมือนดั่งอวกาศ มันไม่มีตัวตน ไม่มีรูปร่าง ไม่มีที่อยู่ ไม่มีที่ตั้ง ไม่มีสัญลักษณ์ใด ๆ เลย มันเป็นความว่าง
ไม่ใช่ว่าเราไปทำให้ความคิดทั้งหมดมันว่าง แต่เราเห็นว่าความคิดทั้งหมด มันเกิดมาจากความว่าง และดับหายไปในความว่าง
นั่นแหละ... แล้วเราก็จะพ้นจากทุกข์ได้ ใจมันก็จะเป็นความว่างเปล่า ส่วนความคิดทั้งหมดก็จะถูกปล่อยวางไป แต่ไม่ใช่ว่าเราเข้าใจผิด ไปทำให้มันไม่คิด ทำให้ใจว่าง ๆ ... อันนี้มันจะสร้างเอา มันจะปรุงแต่งสร้างมโนภาพ แล้วก็เป็นคนเอ๋อเอา
เหมือนอย่างนี้... เหมือนกับเราไปยืนดู "ปูลม" พอเดือนหงาย สมมุติวันมาฆะบูชา เดือนหงายสาดส่องไปทั่วหาดทราย เราก็จะเห็นว่า "ปูลม" มันขึ้นมาเต็มหาดทรายไปหมดเลย
เราก็ เอ๊ะ !... ปูลมมันออกมาจากตรงไหน เราสังเกตให้ดี ๆ ว่าปูลมมันออกมาจากตรงไหน ค่อย ๆ สังเกตมัน เดี๋ยวเราก็จะเห็น "รู" ปูลม
อ๋อ... รูปูลมมันเป็นอย่างนี้เอง เพราะเราไม่เคยเห็น เราจะเห็นว่า "รู" ปูลมมันกลวง มันว่าง มันจึงเป็นที่เข้าออกของปูลมได้
นั่นแหละ..... อย่าไปเป็น "ปูลม" ให้เป็น "รู" ปูลม
แต่เดี๋ยวปูลมมันก็เข้า ๆ ออก ๆ นั่นแหละ
"รูปูลม" ก็เปรียบเหมือน "ใจ"
"ปูลม" ก็เปรียบเหมือน "จิตที่ปรุงแต่ง" มีความรู้สึกนึกคิดอารมณ์ต่าง ๆ
เราไม่ได้ไปฆ่าปูลมทั้งหมดนะ ถ้าเราพยายามไปฆ่าความคิด ดับความคิด ดับความปรุงแต่ง ดับอารมณ์ทั้งหมด เท่ากับเราไปฆ่า! (ไล่ดับความคิดและอารมณ์)
เราเห็นปูลมเต็มชายหาดแล้วเราไปฆ่า ไล่ฆ่าปูลมหมดเลย อันนั้นเราปฏิบัติผิดนะ
ให้สังเกตเห็นว่าปูลมมันออกมาจากไหน แล้วมันกลับดับไปที่ไหน เราจะเห็นว่า อ๋อ... มันออกมาจากรูนี้ แล้วมันก็ดับไปที่รูนี้ มันเข้าไป (ปูกลับเข้า "รูปู" ) ก็เหมือนดับ
มันออกมาที่รูนี้ แล้วมันดับไปที่รูนี้
อ๋อ ... รูมันกลวง และ ว่างเปล่า มันจึงเข้าออกได้ เกิดดับได้
*** ให้เป็น "รู" ปูลม แต่อย่าไปเป็น "ปูลม" ***
ถ้าไปเป็นปูลมมันเพ่นพ่าน มันวิ่งวุ่นวายไปหมด มันเป็นทุกข์ ถ้าเป็นรูมัน เฝ้าเป็นรูที่เป็นรูปูลม เดี๋ยวก็เป็น "ใจ "
รูปูลม... เปรียบเหมือนเป็น "ใจ"
ปูลม... ก็เป็นสังขาร
"จิตตสังขาร" เข้าออกที่ใจ เกิดดับที่ใจ แต่ "ใจ" ไม่เกิดดับ เป็นใจที่ไม่เกิดดับพ้นจากทุกข์ได้
ไม่ใช่ว่าเราไปไล่ฆ่าปูลมหมดเลย แล้วไปทำให้มันว่าง ๆ ไม่มีปูลม อันนั้นผิดนะ !!
เราต้องการให้เห็นที่เกิดที่ดับของจิต เราไปฆ่าจิตไม่ได้ เพราะว่าเรายังไม่ตายจะไปฆ่าจิตได้ยังไง เพราะว่าชีวิตมันมีร่างกายกับจิตใจ ถ้าเราไปฆ่าร่างกายจิตใจซะแล้ว เราก็มีความเป็นอยู่เหมือนคนตาย
ร่างกายกับจิตที่ปรุงแต่งมันเป็นสังขาร มันเป็นความปรุงแต่ง แต่ให้เห็นที่เกิดที่ดับของความปรุงแต่ง
เหมือนกับร่างกายของเราก่อนจะมีขึ้นมา ในจักรวาลที่ว่างเปล่านี้ก็ไม่มีตัวเรา แล้วก็มีตัวเราเกิดขึ้นมาในจักรวาลที่ว่างเปล่า เสร็จแล้วตัวเราก็ตายไป เหลือแต่จักรวาลที่ว่างเปล่า
แล้วก็มีตัวเราเกิดขึ้นมาในจักรวาลที่ว่างเปล่า แล้วตัวเราแต่ละคนก็ตายไป เหลือแต่จักรวาลที่ว่างเปล่า
ถ้าเราเข้าใจแบบนี้ "อวิชชา" มันก็จะดับไป ก็จะไม่มี "ตัวเรา" เกิดขึ้นมาในความว่างเปล่า กลายไปเป็น "ธาตุรู้" ที่รวมกับความว่างเปล่าของธรรมชาติ
ผู้ใดพบใจ ผู้นั้นพบธรรม
ผู้ใดถึงใจ ผู้นั้นถึงพระนิพพาน
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
โอวาทธรรมจากไฟล์เสียง
190221A-2 รู้ธรรมชาติ
21 กุมภาพันธ์ 2562
ฟังจากยูทูป :
https://youtu.be/O-PaPFMt-vc
~~~~~~~~~~~~~~~