โยม : กราบค่ะ ขอบพระคุณค่ะ หนูยังโอเคอยู่นะคะ หายบ้าขึ้นมาแล้วค่ะ ขอโทษนะคะหลวงตา ก็ไม่รู้ว่าทำไมมันขึ้น ๆ ลง ๆ เขาค่ะ
สิ่งที่เกิดทั้งหมดเป็นธรรมให้เห็นในสิ่งที่ไม่เคยรู้และเห็นในตัวเองเลยค่ะ ให้เข้าใจอะไรมากขึ้นมาก ๆ ๆ ๆ ขึ้น เป็นลำดับ ๆ ๆ รวมถึงการเกี่ยวเนื่องกันไปกันมาค่ะ กิเลสแบบปรมาณู ยิบย่อยคราวนี้หนูรู้จักเลยค่ะ
ชัดและเห็นว่าตัวไหนต้องถอน ต้องปล่อยและวางค่ะ
หนูก็ไม่ทราบจะอธิบายยังไงนะค่ะ เมื่อคืนจงกรมเสร็จ ก็มาทำแบบหลวงตาบอกค่ะ ปล่อยวางทุกอย่าง (ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้เจอสภาวะขั้นปรมาณูค่ะ หนักมากสุด ๆ ค่ะ อดทนมาก ๆ ๆ ๆ เพิ่งยิ้มออกค่ะ)
นั่งอยู่ในมุมห้องเงียบ ๆ คนเดียวปล่อยหมดทุกอย่างค่ะ หลับตาค่ะ สักเดี๋ยวทุกอย่างรอบตัวเงียบทึบ มันสงัด เงียบ ไม่ไหวติง นิ่ง สงบ สงัด ไร้ความเคลื่อนไหว
เป็นครั้งแรกเลยค่ะ ที่เห็น ใจ ตัวเองที่มันมีของมันอยู่แล้วค่ะ ในธรรมชาติของมัน เป็นช่วงเวลาหนึ่งของมันค่ะ หนูก็ไม่รู้ว่าอะไรหรอกค่ะ ผิดไหม ใช่เปล่า แต่แค่รู้ว่า “ใจ” มันมีอยู่แล้ว แต่มันถูกบังค่ะ (ขันธ์ห้า หรือ สังขาร บังธรรม)
เห็นว่าไม่อยู่ด้วยกัน และเป็นอย่างหลวงตาบอก “สังขาร” ย่อมไม่ซึมเข้าถึง “ใจ” ที่ไร้ยึด ค่ะ
หนูกราบหลวงตาค่ะ ที่หลวงตาพามาเจอ “ใจ” ค่ะ
หลวงตา : การปฏิบัติธรรม รู้ธรรม สอนธรรมได้ ก็เกิดจากประสบการณ์ตรงจากการขยันหมั่นเพียรสังเกต จดจำ เรียนรู้ ทำความเข้าใจจนถึงใจในสัจธรรมความจริงของร่างกาย จิตใจตนเอง จนถ่ายถอนความเห็นผิด (มิจฉาทิฏฐิ) เสียได้
และมีสติ สมาธิ ปัญญา รู้เท่าทันทุกข์ เหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ (สมุทัย) คือ เกิดตัวตนของผู้หลงยึดถือ หรือ เกิดอวิชชา ตัณหา อุปาทานในปัจจุบันขณะ รู้เท่าทันเหตุเกิดทุกข์ในปัจจุบันขณะ และดับเหตุเสียได้ (มรรค) ความทุกข์ดับ (นิโรธ)
จนรู้แจ้งแก่ใจว่า สิ้นหลงยึดถือขันธ์ห้าเป็นตัวตน เป็นเรา ตัวเรา หรือ ของเรา
ก็จะไม่หลงมีเราหรือตัวตนของเรา ไปยึดถือสิ่งใดให้เป็นทุกข์
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
โอวาทธรรมจากปุจฉาวิสัชนา
27 มีนาคม 2562