“ใจ” มันเป็นธาตุ เหมือนกับความว่างเปล่าของจักรวาลนี่แหละ มันเป็นความว่างเหมือนจักรวาล มันเป็น “ธาตุ” ว่าง ไม่ใช่ว่าเป็นใจเราใจของเรา มันเป็นธาตุว่างเปล่าเหมือนจักรวาลนี่แหละ แต่ธาตุว่างเปล่าที่ไม่มีความรู้ของธรรมชาติจักรวาลนี้ มันเป็นธาตุอากาศ มันเป็นความว่างที่ไม่มีความรู้
แต่ในธาตุอากาศความว่างนี้ มันมีธาตุอีกธาตุหนึ่ง คือ “ธาตุรู้” มันเป็นความว่างที่เป็น
หนึ่งเดียวกับธรรมชาติจักรวาลนี่แหละ แต่มันมีความรู้แทรกซึมอยู่ในความว่าง
ในธาตุอากาศนี้ด้วย
“ใจ” ไม่ใช่ว่าเป็นดวงเป็นก้อนเป็นต่อมอะไร อยู่ในตัวเราในใจของเรานี่หรอก มันเป็นความว่างที่มันมีความรู้ มันแทรกซึมอยู่ใน “ธาตุดิน” ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก ตับไต ไส้น้อย ไส้ใหญ่ ม้าม ตับ ปอด หัวใจ มันมีธาตุรู้แทรกซึมเข้าไป
เพราะมันเป็นความว่าง มันเลยแทรกซึมเข้าไปใน “ธาตุดิน” มันเลย รู้ธาตุดินด้วย
มันแทรกซึมเข้าไปใน “ธาตุน้ำ” น้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำลาย น้ำปัสสาวะ มันเลยรู้เรื่องของน้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำลาย น้ำปัสสาวะ
มันแทรกเข้าไปใน “ธาตุลม” มันเลยรู้เรื่องของธาตุลม มันแทรกเข้าไปใน “ธาตุไฟ” มันเลยรู้เรื่องของธาตุไฟ มันแทรกเข้าไปใน “ธาตุอากาศ” ที่เป็นความว่าง มันเลยรู้เรื่องของความว่าง
และมันแทรกไปในรูปไม่พอ มันแทรกไปในนามด้วย มันแทรกไปใน “เวทนา” มันเลยรู้เรื่องของเวทนา มันแทรกซึมเข้าไปใน “สัญญา” มันเลยรู้เรื่องของสัญญา มันแทรกซึมเข้าไปใน “สังขาร” มันเลยรู้เรื่องของสังขาร คือ ความคิดความปรุงแต่งและอารมณ์ต่าง ๆ
มันรู้เรื่องของธรรมทั้งหมด “ธรรม” ธรรมชาติฝ่ายปรุงแต่ง และ ธรรมชาติฝ่ายไม่ปรุงแต่ง เพราะมันเป็นธาตุรู้ มันเลยรู้เรื่องของธรรมชาติ ที่เป็นธรรมชาติฝ่ายปรุงแต่งที่ต้องเกิดดับ ธรรมชาติฝ่ายไม่ปรุงแต่งไม่เกิดไม่ดับไม่ได้มีใครเป็นเจ้าของ ไม่ได้เป็นของของใคร
มันเป็นธรรมชาติที่รู้ ...ได้แต่รู้สัจธรรมความจริงอย่างนี้ เพราะมันแทรกซึมไปในทุกที่ แทรกซึมไปในร่างกายจิตใจของทุกสรรพสัตว์ทั้งหลาย ของตัวเรา และ ของทุกสรรพสัตว์ทั้งหมด มันจึงรู้เรื่อง
ถ้าไปเป็นธาตุรู้แล้ว มันก็รู้เรื่องทั้งตัวเรา และก็รู้เรื่องของสรรพสัตว์ รู้เรื่องของอย่างอื่นด้วย เพราะมันแทรกซึมไปในทุกที่
ทีนี้เมื่อขันธ์ห้ายังไม่ตาย มันก็เลยรู้เรื่องของขันธ์ห้านี้แหละเพราะมันแทรกซึมอยู่ใน ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศธาตุของขันธ์ห้า
แล้วมันก็รู้เรื่องของตัวมันเองด้วย คือ รู้เรื่องของธาตุรู้ด้วยว่า มีธาตุรู้หนึ่งเดียวเท่านั้นแหละที่มันไม่เกิดไม่ดับ และมันได้แต่รู้ ... มันยึดถืออะไรไม่ได้
“ธาตุรู้” มันรู้ตัวมันว่ามันไม่เกิดไม่ดับไม่แตกไม่ทำลาย ไม่มีอายุขัยเพราะมันเป็นสิ่งที่ไม่เกิดไม่ดับ และก็มันมีความรู้อยู่ในตัวมันเอง มันไม่ต้องพึ่งพาความรู้จากที่ใด มันเป็นหนึ่งเดียวเท่านั้นที่ไม่เกิดไม่ดับ และมันเป็นหนึ่งเดียวเท่านั้นที่พ้นจากทุกข์ จึงเรียกว่า ... “นิพพานธาตุ”
นิพพานธาตุ มันมีหนึ่งเดียว จึงเรียกว่า “เอกะธัมโม” หรือ “เอโกธัมโม” เป็นหนึ่งเดียวเท่านั้น นอกจากนั้นทุกข์หมด เพราะสังขารเป็นทุกข์ พ้นจากสังขารเท่านั้นจึงจะพ้นจากทุกข์
จะพ้นจากสังขารอย่างไร ...? ก็ต้อง “ธาตุรู้” นี่แหละเป็นผู้รู้ ธาตุอื่น ๆ มันไม่รู้ มันเลยพ้นไม่ได้
“ธาตุรู้” มันทั้งไม่ใช่สังขาร และมันรู้จักมันเองด้วยว่ามันน่ะไม่ใช่สังขาร มันเป็นธรรมชาติที่ไม่ได้เป็นของของใคร และไม่อาจมีใครยึดถือมันได้ และมันได้แต่รู้อย่างอื่นทุกอย่าง และมันรู้ตัวมันเองด้วยว่า มันเป็นธรรมชาติที่ไม่สังขาร ไม่เกิดไม่ดับ ...ไม่มีอายุขัย สังขารทั้งหมดเป็นสิ่งที่ถูกมันรู้ แล้วก็มีอายุขัย
“สังขาร” มันจะรู้จักแต่สังขาร แต่มันไม่สามารถเอาสังขารไปรู้จักธาตุรู้ได้ เพราะธาตุรู้ มันไม่มีตัวตนไม่ปรากฏ ไม่มีรูปพรรณสัณฐาน ไม่มีรูปลักษณ์ไม่มีสัญลักษณ์ใด ๆ ที่จะไปรู้มันได้
เพราะมัน “...เป็นธรรมชาติที่สร้างมาเพื่อรู้...” เพื่อรู้เขา และ รู้ตัวมันเอง แต่มันไม่ได้เป็นธรรมชาติที่สร้างมาเพื่อให้ “ถูกรู้” ไม่งั้นมันจะชื่อว่า “ธาตุรู้” ได้ยังไง
มันเป็นธรรมชาติที่ไม่อาจเอาขันธ์ห้า ไปรู้จักมันได้ ไปรู้มันได้ด้วยขันธ์ห้า เพราะมันเป็นธรรมชาติที่เป็นธาตุรู้ มันชื่อแล้วว่า “ธาตุรู้” แล้วมันไม่มีตัวตนไม่ปรากฏอะไรเลย
จึงไม่สามารถเอาขันธ์ห้า ไปรู้มันได้
เพราะขันธ์ห้านี้ คุณสมบัติขันธ์ห้า มันต้องรู้ทางอายตนะทั้งหก อายตนะทั้งหกก็คือต้องรู้ทางอะไร?
“จิต” หรือ “วิญญาณขันธ์” ในขันธ์ที่ห้า มันก็รู้ทางตา รู้ผ่านอายตนะทางตา รู้อะไร? ... “รู้รูป”
“รูป” ก็ไม่ใช่ “ธาตุรู้” ดังนั้นจะเอาตาไปมองหาธาตุรู้ มองไม่ได้
“วิญญาณขันธ์” ในขันธ์ที่ห้า ต้องรู้ผ่านอายตนะภายใน คือ หูไปรู้เสียง “เสียง” ก็ไม่ใช่ “ธาตุรู้”
ดังนั้น ... “ขันธ์ห้า” รู้ได้แต่ “รูป”
“ขันธ์ห้า” รู้ได้แต่ “เสียง”
“ขันธ์ห้า” รู้ได้แต่ “กลิ่น” ผ่านจมูก
“ขันธ์ห้า” รู้ได้แต่ “ลิ้น” ผ่านทางลิ้น รู้รสผ่านทางลิ้น
“ขันธ์ห้า” รู้ได้แต่สิ่งที่ “สัมผัสกาย” รู้ผ่านประสาทกาย
“ขันธ์ห้า” รู้ได้แต่อาการของใจ ผ่านประตูใจ รู้แต่ “ธรรมารมณ์” คืออาการของใจ
แต่ “ธาตุรู้” ไม่มีอาการ ไม่มีอาการใด ๆ ปรากฏ มันเป็น"วิสังขาร" เป็น "อสังขตธาตุ" เป็น “อสังขตธรรม” เป็น “สุญญตา” เป็น “มหาสุญญตา” มันเป็น “นิพพานธาตุ” มันไม่มีอะไรปรากฏเลย แล้วเราจะเอาอะไรไปรู้มันได้
เพราะว่าขันธ์ห้า รู้ได้แต่เพียงแค่หกประตูเท่านั้นเอง คือ รู้รูป รู้เสียง รู้กลิ่น รู้รส รู้สิ่งที่มาสัมผัสกาย แล้วก็รู้อาการของใจ รู้ธรรมารมณ์ รู้ความรู้สึกนึกคิดอารมณ์ต่าง ๆ
รู้แต่อาการของใจ
แต่เราเนี่ย จะพยายามเอาขันธ์ห้าไปรู้ธาตุรู้ มันรู้ไม่ได้ เพราะว่ามันไม่สามารถรู้ด้วยอายตนะทั้งหก มันรู้ไม่ได้!
ดังนั้นใครพยายามที่ดิ้นรน จะเอาขันธ์ห้า ไปดิ้นรนค้นหาธาตุรู้ ซึ่งเป็นนิพพานธาตุ มันจึงเป็นความผิดพลาดมหันต์!!
เพราะว่าอะไร? มันไม่อาจจะรับรู้ได้ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ แล้วเรายังจะฝืนเอาขันธ์ห้า ไปหามัน ไปค้นมัน พยายามให้พบมัน พยายามไปรู้มัน แล้วพยายามจะไปยึดมันให้ได้อีกด้วย ทั้ง ๆ ที่มันน่ะไม่อาจถูกรู้ได้ และไม่อาจจะมีตัวตนให้ยึดถือได้
ดังนั้น “ธาตุรู้” มันก็แค่รู้จักตัวมันเอง ว่ามันเป็นความไม่เกิดไม่ดับ ไม่มีตัวตน ไม่มีอะไรเลย และมันก็รู้จัก “สังขาร”
“ธาตุรู้” นี่มันรู้ “สังขาร” และก็รู้จักตัวมันเองว่ามันไม่สังขาร มันรู้ทั้งสังขาร และรู้ทั้งไม่สังขาร แต่มันไม่ยึดถือใด ๆ ในโลกเลย เพราะไม่อาจยึดถือใด ๆ ไม่ใช่ว่า “เรา” ไม่ยึดถือนะ แต่ธาตุรู้ เค้าไม่ยึดถือใด ๆ ของเค้าเอง เค้าได้แต่รู้
เมื่อไหร่เป็นธาตุรู้ที่มันไม่อาจยึดถือใด ๆ ได้ มันจึงไม่มีความทุกข์ เค้าจึงเรียกว่า ... “นิพพานธาตุ”
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
โอวาทธรรมจากไฟล์เสียง
190317A-5 สิ้นอุปาทานขันธ์ห้า
17 มีนาคม 2562
ฟังจากยูทูป :
https://www.youtube.com/watch?v=bFaHMGWoY40