เราเห็นว่าความคิดทั้งหมด มันเกิดมาจากความว่าง และดับหายไปในความว่าง
มันเกิดมาจากความว่าง หายไปในความว่าง
นั่นแหละ...แล้วเราก็จะพ้นจากทุกข์ได้
ใจมันก็จะเป็นความว่างเปล่า
ส่วนความคิดทั้งหมดก็จะถูกปล่อยวางไป
แต่ไม่ใช่ว่าเราเข้าใจผิด เราไปทำให้มันไม่คิด
ทำให้ใจว่าง ๆ ... อันนี้มันจะสร้างเอา
มันจะปรุงแต่งสร้างมโนภาพ แล้วก็เป็นคนเอ๋อเอา
เหมือนอย่างนี้...เหมือนกับเราไปยืนดูปูลมอย่างนี้
เอ๊ะ ... พอเดือนหงาย สมมุติวันมาฆะ เดือนหงาย สาดส่องไปทั่วหาดทราย
เราก็จะเห็นว่า "ปูลม" มันขึ้นมาเต็มหาดทรายไปหมดเลย
แล้วเราก็ เอ๊ะ ... ปูลมมันออกมาจากตรงไหน ? เราก็เห็นปูลมจากหาดทรายหมด
เราสังเกตให้ดีๆ ว่า... "ปูลม" มันออกมาจากตรงไหน
ค่อย ๆ สังเกตมัน เดี๋ยวเราก็จะเห็น "รู" ปูลม
อ๋อ ... "รู" ปูลมมันเป็นอย่างนี้เอง ... เพราะเราไม่เคยเห็น
"รู" ปูลมมันเป็นอย่างนี้เอง
เราจะเห็นว่า "รู" ปูลมเนี่ย ...มันกลวง มันว่าง
มันจึงเป็นที่เข้าออกของปูลมได้
นั่นแหละอย่าไปเป็น "ปูลม" ให้เป็น "รู" ปูลม
แต่เดี๋ยวปูลมเนี่ยมันก็เข้า ๆ ออก ๆ นั่นแหละ
"รู" ปูลมน่ะก็เปรียบเหมือน "ใจ"
"ปูลม" ก็เปรียบเหมือน "จิตที่ปรุงแต่ง" มีความรู้สึกนึกคิดอารมณ์ต่าง ๆ
เราไม่ได้ให้ไปฆ่าปูลมทั้งหมดนะ ถ้าเราพยายามไปฆ่าความคิด ดับความคิด ดับความปรุงแต่ง ดับอารมณ์ทั้งหมดแล้ว เท่ากับเราไปฆ่า!
เราเห็นปูลมเต็มชายหาดแล้วเราไปฆ่า ไล่ฆ่าปูลมหมดเลย อันนั้นเราจะปฏิบัติผิดนะ !!
เขาให้สังเกตเห็นว่าปูลมเนี่ย ... มันออกมาจากไหน แล้วมันกลับไปที่ไหน
มันออกมาจากไหน แล้วมันกลับดับไปที่ไหน
เราจะเห็นว่า อ๋อ ... มันออกมาจากรูนี้ แล้วมันก็ดับไปที่รูนี้
มันเกิดเข้าไปก็เหมือนดับ มันออกมาที่รูนี้ แล้วมันดับไปที่รูนี้
อ๋อ ... รูมันเนี่ยกลวง และ ว่างเปล่า มันจึงเข้าออกได้ เกิดดับได้
นั่นแหละ ให้เป็น "รู" ปูลม แต่อย่าไปเป็น "ปูลม"
ถ้าไปเป็นปูลมมันเพ่นพ่าน มันวิ่งวุ่นวายไปหมด
มันเป็นทุกข์ !
ถ้าเป็นรูมันเนี่ย เราเฝ้าเป็นรู ที่เป็นรูปูลม เดี๋ยวก็เป็น "ใจ "
"รู" ปูลมเปรียบเหมือนเป็น "ใจ"
ปูลม" ก็เป็น "สังขาร"
จิตตสังขารเข้าออกที่ใจ เกิดดับที่ใจ
แต่ใจไม่เกิดดับ เป็นใจที่ไม่เกิดดับพ้นจากทุกข์ได้
ไม่ใช่ว่าเราไปไล่ฆ่าปูลมหมดเลย
แล้วไปทำให้มันว่าง ๆ ไม่มีปูลม อันนั้นผิดนะ !!
เราต้องการให้เห็นที่เกิดที่ดับของจิต เราไปฆ่าจิตไม่ได้
เพราะว่าเรายังไม่ตายจะไปฆ่าจิตได้ยังไง
เพราะว่าชีวิตมันมีร่างกายกับจิตใจ
ถ้าเราไปฆ่าร่างกายจิตใจซะแล้ว
เราก็กลับมีความเป็นอยู่เหมือนคนตาย
ร่างกายจิตใจเป็นสังขาร ร่างกายกับจิตที่ปรุงแต่งมันเป็นสังขาร มันเป็นความปรุงแต่ง แต่ให้เห็นที่เกิด ที่ดับของความปรุงแต่ง
เหมือนกับร่างกายของเราเนี่ย ก่อนจะมีขึ้นมาในจักรวาลที่ว่างเปล่านี้ ก็ไม่มีตัวเรา แล้วก็มีตัวเราเกิดขึ้นมาในจักรวาลที่ว่างเปล่า เสร็จแล้วตัวเราก็ตายไป เหลือแต่จักรวาลที่ว่างเปล่า
แล้วก็มีตัวเราเกิดขึ้นมาในจักรวาลที่ว่างเปล่า
แล้วก็ตัวเราแต่ละคนก็ตายไป เหลือแต่จักรวาลที่ว่างเปล่า
แล้วก็มีตัวเราเกิดขึ้นมา
ถ้าเราเข้าใจแบบนี้ "อวิชชา" มันก็จะดับไป
ก็จะไม่มี "ตัวเรา"เกิดขึ้นมาในความว่างเปล่า
ก็กลายไปเป็น "ธาตุรู้" ที่รวมกับความว่างเปล่าของธรรมชาติ
เข้าใจมั้ย? ไม่เหมือนกันนะ
ที่หนูปฏิบัติพยายามไปวิ่งไล่ฆ่าปูลมให้หมด เพื่อให้มันทุกอย่างมันว่างเปล่า
ไม่ใช่นะ! อย่างนี้มันว่างเปล่า แต่ไม่ได้เห็น "รู" ปูลม
แต่หนูฆ่าปูลมให้มันตายหมด มันว่างเปล่าจาก "ปูลม"
แต่หนูยังไม่พบ "รู" ปูลมเลย คือยังไม่พบ "ใจ"
ผู้ใดพบใจผู้นั้นพบธรรม
ผู้ได้ถึงใจ ผู้นั้นถึงพระนิพพาน
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
โอวาทธรรมจากไฟล์เสียง
190221A-2 รู้ธรรมชาติ
21 กุมภาพันธ์ 2562
ฟังจากยูทูป :
https://www.youtube.com/watch?v=O-PaPFMt-vc
ฟังจากระบบซาวด์คลาวด์ :
https://soundcloud.com/luangtanarongsak/190221a-2
ดาวน์โหลด (คอมพิวเตอร์) :
http://bit.ly/2GMpLlm