ถ้าเราไปเห็นแต่ว่า ... ทุกปัจจุบันขณะ เห็นแต่เพียงความรู้สึกนึกคิดอารมณ์ คือสังขารเกิดดับอยู่ในใจ หรือจิตเดิมแท้ หรือธรรมชาติที่ไม่เกิดไม่ดับ จะลืมไปเลยว่าเอาตัวเราไปเป็นคนรู้ เอาขันธ์ห้า เอาผู้รู้มาเป็นตัวเรา เอาตัวเราไปเป็นผู้รู้ ยึดถือผู้รู้เป็นตัวเรา ยึดถือเราเป็นผู้รู้ แล้วก็ไปรู้ว่าสังขารเกิดดับอยู่ในความไม่เกิดดับ
แต่...กลายไปเป็น “ตัวเรา” ที่รวมอยู่ใน “ผู้รู้” นั้น
จึงให้เห็นว่า ... ใน “ผู้รู้” มี “ตัวเรา” ที่มันเกิดดับเป็นสังขารด้วย
เมื่อปล่อยวางผู้รู้ที่มีตัวเราเข้าไปผสมในผู้รู้ ไม่ยึดถือผู้รู้ ธาตุรู้ก็เลยเป็นความรู้ที่บริสุทธิ์แท้ ๆ “ธาตุรู้” จึงเป็นหนึ่งเดียวกันกับ “ธาตุว่าง” ที่ไม่เกิดไม่ดับ (“ธาตุว่าง” ในที่นี้หมายถึง ความว่างของธรรมชาติจักรวาล ที่ไม่มีความรู้ ซึ่งธาตุรู้มีคุณสมบัติเหมือนกับความว่างของธรรมชาติจักรวาล แต่มีความรู้อยู่ในตัว)
ถ้าเราเห็นไม่ทัน ผลเสียมันจะเกิดขึ้นยังไง? ถ้ามีตัวเราเข้าไปรวมกับธาตุรู้ ไปมีความคิดความปรุงแต่ง เอาสังขารในขันธ์ห้ามาคิดปรุงแต่งเป็นตัวเรา เป็นตัวตนของเรา มันก็จะมีตัวตนของเราจริง ๆ ไปรวมอยู่ในธาตุรู้ (ที่เป็นธาตุรู้ที่บริสุทธิ์ของธรรมชาติ) ความรู้ของเรามันก็จะไม่บริสุทธิ์ เพราะมันจะมีอคติ 4 ในการรู้นั้น
เพราะฉะนั้น... แทนที่จะไปเห็นเพียงแค่ว่า 'สังขารเกิดดับอยู่ในความไม่เกิดดับ' ทุกปัจจุบันขณะเห็นความรู้สึกนึกคิด อารมณ์ จิตปรุงแต่ง เกิดดับอยู่ในความไม่ปรุงแต่ง เราต้องมากัดติดจดจ่อเห็นตรงนี้ ตรงผู้รู้นี่แหละ... โดยเห็นว่าทุกปัจจุบันขณะผู้รู้ที่มีอคติได้ ก็เป็น “สังขาร”
เมื่อเห็นว่าผู้รู้เป็นสังขาร ก็เลยไม่หลงไปยึดถือสังขาร มันก็เลยไม่มีตัวเราเข้าไปอยู่ในผู้รู้ มันก็เลยเหลือแต่ความรู้ตามธรรมชาติแท้ ๆ ซื่อ ๆ ตรงไปตรงมา หรือ “สักแต่ว่ารู้”
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
สรุปโอวาทธรรมจากไฟล์เสียง
190118B-5 รู้ที่ไร้ตัวตน
18 มกราคม 2562
ฟังจากยูทูป :
https://youtu.be/LcqwQs8W4Lo
ฟังจากระบบซาวด์คลาวด์ :
https://soundcloud.com/luangtanarongsak/190118b-5
ดาวน์โหลด (คอมพิวเตอร์) :
http://bit.ly/2FI53m1