“หลง” ก็เป็นอาการ เป็นสภาวะ... ก็ไม่เที่ยง
เวลามัน “หลง” ก็ไม่เป็น “ผู้หลง”
เวลามัน “หยุด” เหมือนโลกธาตุทั้งภายในและภายนอกมันหยุดไปหมด ก็ไม่มี “ตัวเรา” ในความหยุด และไม่มีตัวเราเป็น “ผู้หยุด” เป็นแต่สภาวะที่หยุด
สุดท้าย... จะหลง จะหยุด ก็ไม่มี “ตัวเรา” ไม่มีผู้ที่ไปยึดถือ หรือ รังเกียจความหลง และไม่มีผู้ไปหลงยึดถือความหยุด
ถ้าอยากให้หยุดและมีสภาวะอย่างนี้ตลอดไป ก็จะกลายเป็น “ความหลง”
คิดว่าตัวเองไม่หลง แต่ตัวเองพยายามยึดถือ “ความหยุด” เลยกลายเป็น “ความหลง” เรียกว่า “หลงความไม่ยึดถือ” คือ พยายามที่จะไม่ยึดถือ แล้วก็คิดว่าตัวเราน่ะไม่ยึดถือ แล้วก็ไปรังเกียจความหลง แต่โหยหาความไม่หลง โหยหาความหยุด อย่างนั้นน่ะ “ยึดถือความไม่ยึดถือ” เท่ากับ “ยึดถือ” อีก
เพราะฉะนั้น... มันจะหยุด หรือ มันจะหลง เราก็เพียรไปเรื่อย
มันหลง... ก็ไม่มี “ตัวเรา” ไปหลงกับมัน
มันหยุด... ก็ไม่มี “ตัวเราไปพยายามทำหยุด” และไม่มี “ตัวเราหลง” มันเลยเป็น “หยุด” แต่พอเราจะรักษาความหยุด มันก็มีตัวเราไปหลงอีก
ฉะนั้น... เมื่อไม่มีตัวเราไปหลง และไม่มีตัวเราไปทำหยุด มันก็เป็น “ความไม่ปรุงแต่ง”
และก็ถ้ามีเราไปพยายามไปรักษาความไม่ปรุงแต่ง มันก็กลายเป็นหลงอีก รังเกียจความปรุงแต่ง จะพยายามโหยหาความไม่ปรุงแต่ง ก็กลายเป็นหลงอีก เรานึกว่าไม่หลงแล้ว แต่ในที่สุดก็หลง... สุดท้าย... มันจะเป็นยังไงก็ช่างมัน...!!!
สุดท้ายนะ... ถ้าเขาจะให้อยู่ ก็ต้องทำงานหนักอยู่เรื่อยไป ก็เป็นเรื่องของเขา ถ้าเขาอยากจะให้อยู่ก็ต้องอยู่ ถ้ามันถึงเวลาจะต้องตาย มันก็ต้องตาย ไม่ได้เกี่ยวกับเราเลย เป็นเรื่องของเขา
ถ้าเขาจะให้เราอยู่เพื่อช่วยงานพระศาสนา เราก็ทำงานหนักเรื่อยไป ถ้าเขาจะให้เราตาย ให้สิ้นการที่จะอยู่ ก็เป็นเรื่องของเขา ไม่เกี่ยวกับเรา เป็นเรื่องของธรรมชาติ ด้วยเหตุด้วยปัจจัย
ไม่มีใครเป็น ไม่มีใครเกิด ไม่มีใครตาย
ไม่มีใครเป็นอะไรเลย!!!
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
โอวาทธรรมจากไฟล์เสียง
180630A-3 เอาตัวเราไปปล่อยวาง
30 มิถุนายน 2561
ฟังจากยูทูป :
https://www.youtube.com/watch?v=s8wRWdaufwg
~~~~~~~~~~~~~~~~