คนอื่น ๆ ก็ต้องเพียรปฏิบัติเร่งไล่ขึ้นมา ถ้ามันเดินตามเขาไม่ทันมาก ๆ เข้ามันก็ทิ้งห่างกันเกินไป คล้าย ๆ มันเดินตามไม่ทันเพื่อน มันก็ค่อย ๆ ล้า ๆ แล้วสุดท้ายก็ค่อย ๆ ถดถอยไปหมดเพราะอะไร? โลกเอาไปกินเรียบ!!!
มันน้อยรายที่จะไล่ได้ทัน ก็คือขนวัวกับเขาวัว สุดท้ายเราต้องปล่อยวาง ต้องปล่อยวางขนวัว คนไหนที่จะเป็นเขาวัว ก็ต้องเข็นเขาไปซะก่อน คนไหนที่จะเป็นขนวัว ก็ค่อย ๆ เอารุ่นพี่ช่วยรุ่นน้อง ช่วย ๆ กันขึ้นมา ถ้าเขากลับลำได้ เขากลับมาฮึดวิ่งตาม มันก็ทันได้นะ แต่ถ้าเขาล้า ๆ ก็ต้องปล่อยไป
มีคนถามมาว่า เขาฟังไฟล์เสียงหลวงตา ที่หลวงตาพูดแบบนี้ เขาเลยรู้สึกว่าน้อง ๆ เขาเริ่มไล่ไม่ทัน เริ่มค่อย ๆ ล้าไป เขาก็เลยบอกว่า ให้ฟังไฟล์เสียงหลวงตาที่หลวงตาพูดแบบนี้ เรื่องมันจะไม่ทัน มันจะตกรถไฟ ที่สุดแล้วรถไฟออกแล้วก็ยังไม่ทัน กลายเป็นดวงจิตวิญญาณที่เร่ร่อนในภพภูมิต่าง ๆ แล้วก็ตามเขาไม่ทัน สุดท้ายก็ถูกทิ้งไว้
หลวงตาเคยร้องไห้สมัยก่อนนี้ พิจารณาดู... เรามีพ่อแม่ครูอาจารย์เป็นพระอรหันต์มาหลายภพหลายชาติ แล้วพ่อแม่ครูอาจารย์เราก็หายไปเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ
แต่ด้วยความที่เราไม่เอาไหน ทิ้งดวงจิตวิญญาณของเราให้เร่ร่อนซัดเซพเนจรมานานแสนนาน ความไม่เอาไหนของเราเอง ความโง่เง่าเต่าตุ่นของเราเอง ด้วยอวิชชา มันเลยกลายเป็นดวงจิตวิญญาณที่เร่ร่อน ทุกข์ยากลำบากมาหลายภพหลายชาติ
พ่อแม่ครูอาจารย์ที่สอนจบแล้ว ท่านสอนแล้วท่านก็เป็นธรรม เพราะว่าสอนอย่างที่ทำ ทำอย่างที่สอน ปฏิบัติอย่างที่สอน สอนอย่างที่ปฏิบัติ สุดท้ายท่านสอน “ธรรมแท้” ใจท่านก็เลยเป็นธรรมแท้ แล้วก็นิพพานไปหมดแล้ว
เรามันไม่ค่อยเอาไหนมาไม่รู้กี่ชาติ ชาตินี้ยังไม่เอาไหนอีกก็แย่แล้ว แค่นั้นแหละ... ร้องไห้เลย แล้วในชาตินี้ก็มีพ่อแม่ครูอาจารย์เป็นพระอรหันต์หลายท่านดับขันธ์ไป แต่เรายังไม่สิ้นอวิชชา ยังไม่รู้เลยว่าอันไหนเป็นอวิชชา... ร้องไห้เลย!!!
ทำไมพ่อแม่ครูอาจารย์ท่านเพียรทุ่มเทหมดกายหมดใจ ไม่เหลืออะไรกำไว้ในมือเลย ให้หมดกายหมดใจ แต่ทำไมเรายังไม่สิ้นอวิชชา... อะไรเป็นอวิชชายังไม่รู้เลย โง่เง่าเต่าตุ่นมากเลย ร้องไห้เลย พ่อแม่ครูอาจารย์ท่านเป็นพระอรหันต์ดับขันธ์ไปหมดแล้ว แต่ทำไมเรายังเป็นอย่างนี้!!!
บางองค์เรียกเราไปก่อนที่ท่านจะมรณภาพ... ท่านจะให้เราบวชก่อนที่ท่านจะดับขันธ์ เราก็ยังไม่พร้อม คือคล้าย ๆ มันไม่ลงตัว ถ้าเราบวชซะมันก็ลงตัวตอนนั้น แต่เรายังไม่พร้อมอยู่นั่นแหละ แล้วเราก็บวชไม่ได้ซะที
สุดท้ายก่อนท่านจะดับขันธ์จริง ๆ ท่านก็เลยเรียกเราไป เข้าไปในห้องนอนท่านตามลำพัง แล้วก็บอกว่า... ท่านพิจารณาดูแล้ว คือเราก็เหมือนผลไม้แก่ที่อยู่บนต้น รอวันสุก ถ้ามันสุกแล้ว มันก็ไม่ต้องมีใครสอย มันก็จะร่วงหล่นจากต้นเอง ท่านหมดห่วงเราแล้ว แล้วสักวันหนึ่งข้างหน้าเราก็จะเป็นผลไม้สุกที่ร่วงหล่นจากต้นเอง แม้ไม่มีใครสอย
สังขารท่านร่วงโรยมากแล้ว บัดนี้ 98 แล้ว มันเป็นเกวียนที่ผุแล้ว มันไม่สามารถที่จะเดินทางต่อได้แล้ว ท่านบอกว่าอย่ายึดที่ตัวบุคคล ให้เอาพระธรรมคำสอนไปประพฤติปฏิบัติให้พ้นทุกข์จริง ๆ
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
โอวาทธรรมจากไฟล์เสียง
180413A-2 สอนอย่างที่ทำ ทำอย่างที่สอน
13 เมษายน 2561
ฟังจากยูทูป :
https://www.youtube.com/watch?v=TAG7E0O9mnQ