ความเงียบ ความสงบไปทั้งโลกธาตุ มันก็ยังเป็นความปรุงแต่ง เพราะมันยังเป็นความไม่เที่ยง เดี๋ยวเงียบ สงบ สงัดไปทั้งโลกธาตุ เดี๋ยวก็ไม่เงียบ ไม่สงบ ไม่สงัดไปทั้งโลกธาตุ
แต่เพราะ “ความไม่ยึดถืออะไร” มันเลยกลายเป็นความเงียบ ความสงบ ความสงัดได้บ่อย ๆ แต่เมื่อไปยึดถือความเงียบ ความสงบ ความสงัด กลายเป็นมี “ความยึดถือ” ให้เป็นทุกข์
ดังนั้น เมื่อสิ้นความยึดถือแล้ว มันก็เป็นความเงียบ ความสงบ ความสงัดไปทั้งโลกธาตุ แต่ไม่มีผู้ยึดถือมัน
แต่ความเงียบ ความสงบ ความสงัดทั้งโลกธาตุนั้น ถ้ามันถึงที่สุดเพียงแค่ “ขณะจิตเดียว” มันจะระเบิดอวิชชาขาดสะบั้นไปทั้งโลกธาตุเลย มันจะไม่หวนคืนอีก คือไม่หวนคืนกลับมายึดถืออีก แต่สภาวะจะกลับมาเป็นปกติ
คือสภาวะที่เงียบ สงบ สงัด เป็นแค่ “ขณะจิตเดียว” วูบหนึ่ง... แต่มันละเอียดและลึกที่สุด จะเป็นนานหรือไม่นานแล้วแต่บุคคลแต่ละคน แต่มันเกิดขึ้นครั้งนั้น มันเหมือนกับโลกธาตุภายในและภายนอกมันไม่ใช่เงียบสงบธรรมดา คราวนี้มันเหมือนโลกธาตุภายในและภายนอกมันระเบิดบางอย่างออกไป
ความว่างที่เป็นธาตุรู้ภายในใจ มันไปรวมเป็นหนึ่งเดียวกับความว่างของจักรวาลเดิม แล้วสิ้นยึดถือตลอดกาล แต่สภาวะเงียบ สงบ สงัดนั้นก็จะกลับคืนมาเป็นปกติ แต่ความสิ้นยึดถือเท่านั้น ที่สิ้นยึดถือตลอดกาล
แต่สภาวะที่เงียบสงบสงัดนั้นกลับคืนสู่ความเป็นปกติ แต่กลับคืนสู่ความเป็นปกติแล้ว แต่ตัวตนของผู้ยึดถือไม่มี มันหายไปเท่านั้นเอง
แต่สภาวะไม่ใช่ยึดถือไว้ได้ ไม่ใช่ “ทรงสภาวะ” นั้นไว้ มันเงียบ สงบ สงัด ไปทั้งโลกธาตุ มันเงียบบ่อย ๆ ที่สุดแล้ว ความเงียบมันก็ละเอียดเข้าไป ๆ เพราะสิ้นยึดเข้าไป ๆ
พอสิ้นยึดหยาบ มันก็เงียบ สงบ สงัดอย่างหยาบ พอสิ้นยึดปานกลาง สิ้นยึดอารมณ์ปานกลาง สิ้นยึดเรื่องราวปานกลาง มันก็สงบปานกลาง สิ้นยึดความละเอียดเข้าไป ละเอียดเพียงใด ว่างเพียงใดก็สิ้นยึด มันเงียบ สงบ สงัดเพียงใดก็สิ้นผู้ยึดถือ มันว่างขนาดใดก็สิ้นผู้ยึดถือเข้าไป ๆ จนไม่ยึดถืออะไรเลย
ในขณะจิตหนึ่งแค่นั้นแหละ มันเงียบสงบไปทั้งโลกธาตุทั้งภายในภายนอก มันระเบิดโลกธาตุนั้นไปเลย ระเบิดอวิชชาที่ห่อหุ้มจิตเดิมแท้ เหมือนระเบิดห้องกระจกแหลกออกไปทุกด้าน
“ใจ” มีแต่ความว่างเปล่าเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ “ใจ” เป็นธาตุรู้ แต่ไม่มีตัวตน มันเหมือนกับเป็นความว่างเปล่าหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ แต่ “รู้” นี้ไปรวมกับความว่างของธรรมชาติแล้ว
ดังนั้นธรรมชาติของ “รู้” หรือ “พุทธะ” ไม่ใช่เป็นตัวเราที่เป็นพุทธะ ไม่ใช่ตัวเราเป็นผู้รู้ แต่เป็นธรรมชาติของ “ธาตุรู้ที่บริสุทธิ์” ที่ไร้ตัวตน เพราะอวิชชาดับไปแล้ว มันไปรวมกับความว่างของธรรมชาติ
ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า ที่ใดมีความว่าง ที่นั่นมี “รู้” หรือ “ความรู้” หรือ “ธาตุรู้” ที่เป็นพุทธะ รู้สิ้นยึด รู้สิ้นหลง รู้ตื่น รู้เบิกบาน ตลอดกาลอยู่ในความว่าง
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
โอวาทธรรมจากไฟล์เสียง
180730A-5 ธรรมชาติแท้ แท้โดยธรรมชาติ
30 กรกฎาคม 2561
ฟังจากยูทูป :
https://youtu.be/p0Q98oylcBA