พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า... ตัณหาผู้สร้างเรือนเอ๋ย... เราหักเรือนของเจ้าทิ้งหมดแล้ว...
ตัณหาเปรียบเหมือนต้นไม้ใหญ่ ที่มีรากแก้วเป็นความดำริ ความหลงคิด หลงปรุงแต่งไป เป็นรากแก้วที่ส่งน้ำส่งอาหารเลี้ยงแก่ลำต้นของตัณหา ให้งอกงามเจริญไพบูลย์ บัดนี้เราทำลายรากแก้วของเจ้าหมดแล้ว น้ำเลี้ยงที่ส่งอาหารและน้ำให้แก่ต้นตัณหาก็ถูกตัดขาด ต้นตัณหาก็ตาย
ดังนั้น “อวิชชา ตัณหา อุปาทาน” คือ ความหลงคิดปรุงแต่งดิ้นรนทะยานอยาก เพราะหลงยึดถือขันธ์ห้าว่าเป็นเรา ตัวเรา ของเรา
ถ้าเราเห็นว่ามันเป็นเพียงสังขาร เป็นความปรุงแต่ง ไม่มีใครเข้าไปยึดมั่นถือมั่น มันก็เป็นเพียงแค่ “ปรากฏการณ์ของธรรมชาติ” เหมือนฟ้าแลบ ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า ที่เกิดดับอยู่บนท้องฟ้าที่ว่างเปล่า
“ใจ” เปรียบเหมือนเป็นท้องฟ้าที่ว่างเปล่า ฟ้าจะแลบ ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติยังไงก็ตาม ที่เป็นสังขารปรุงแต่งขึ้นมา ถ้าหากไม่มีผู้ไปยึดมั่นถือมั่น สังขารที่เปรียบเหมือนฟ้าแลบ ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า ก็จะไม่ผ่าผู้ที่ไม่ไปยึดมั่นถือมั่นให้เป็นทุกข์
สิ้นผู้ยึดมั่นถือมั่น ใจก็เปรียบเหมือนท้องฟ้าที่ว่างเปล่า ต่อให้สังขารจะดี จะชั่ว จะเป็นบุญ เป็นบาป เป็นกุศล อกุศล เป็นกิเลส หรือจะไม่เป็นกิเลสอะไรก็ตาม ไม่อาจไหม้หรือทำลายท้องฟ้า ซึ่งเปรียบเหมือนใจที่ว่างเปล่าได้ แต่ถ้าหากมีผู้เข้าไปยึดมั่นถือมั่น ย่อมถูกไฟช็อต ไฟไหม้ ถูกทำลายได้
ดังนั้นจะต้อง “รู้เท่าทัน” สังขาร คือความคิดปรุงแต่ง ไม่หลงไปกับความคิดปรุงแต่ง หรือไม่หลงยึดถือเอาจิตที่กำลังคิดปรุงแต่งในปัจจุบันขณะ ว่าเป็นเรา เป็นตัวเรา หรือเป็นตัวตนของเรา หรือเป็นของของเรา ใจก็จะว่างเปล่าจากความปรุงแต่ง
นั่นแหละคือการใช้หนี้กรรมหมด สิ้นตัวตนที่จะเป็นเหตุเกิดอีก
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
โอวาทธรรมจากไฟล์เสียง
180407A-1 ถึงที่สุดก็คือความไม่มีอะไรเลย
7 เมษายน 2561
ฟังจากยูทูป :
https://youtu.be/ZDqXVHyEe0s