"... คนเราปฏิบัติได้ถึงขั้นเก่ง มันจะมีขั้นหยาบ ขั้นปานกลาง ขั้นละเอียด เมื่อเราปฏิบัติได้ มุ่งสู่การปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ เพื่อบรรลุมรรคผลนิพพาน มันจะปล่อยวางสิ่งที่อยู่นอกกายเรา ไม่ห่วง ไม่กังวล ไม่ห่วง ไม่กังวล
นี่คือเรียกว่าขั้นหยาบที่สุด คือปล่อยวางสิ่งที่อยู่นอกกายเรา ปล่อยวางสามี ภรรยา ลูก หลาน พ่อแม่ พี่น้อง สมบัติพัสถาน ตำแหน่ง ลาภยศ เพราะฉะนั้นใจมันไม่ห่วง
มีหน้าที่ก็ทำโดยสมบูรณ์บริบูรณ์ในทางโลก แต่ใจไม่ห่วงไม่กังวล ไม่ไปยึดติดยึดถือ อันนี้เรียกว่าปล่อยวางอย่างหยาบ
ปล่อยวางอย่างกลางคือปล่อยวางร่างกายเรา คือกายจะเป็นยังไงก็เป็นไป จะแตก จะดับ จะตาย ไม่ห่วงไม่กังวล นี่คือการปล่อยวางอย่างกลาง มันก็ไม่มีที่ไป มันก็จบ ไม่มีเหตุให้เกาะเกี่ยวไว้
อันสุดท้ายสำคัญที่สุดคือปล่อยวาง “จิตผู้รู้”
ถ้าเอาตัวเราไปรู้ เวลากระทบอะไรทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจในปัจจุบันขณะ แล้วไม่เห็นตัวเราผู้รู้ และก็ปล่อยวางตัวเราผู้รู้ มันมีแต่ “เอาตัวเราไปรู้” แต่เราไม่ห่วงใยไม่กังวลเขา ไม่ยึดติดยึดถือ
แต่เรายังไม่เห็น “ตัวผู้รู้คือตัวเรา” ไปรู้เขา นี่เอาตัวเราไปรู้เขา แต่เราน่ะไม่ห่วงไม่กังวลเขา แต่มีตัวเราไปรู้เขา เราไม่เห็นไอ้ตัวเราที่เป็นผู้รู้ ผู้รู้ที่เรายึดถือผู้รู้มาเป็นตัวเรา
เรามีตัวเราไปรู้ร่างกายเรา มันเจ็บ มันปวด มันทรมาน เราก็จะไปรู้แต่ร่างกายกับเวทนาที่มันเจ็บปวดทรมานแสนสาหัส ไปรู้แต่รูปขันธ์กับนามขันธ์ รูปขันธ์ก็คือร่างกายที่เจ็บปวดทุกข์ทรมาน แล้วก็เวทนาขันธ์คือความเจ็บปวดทุกข์ทรมานแสนสาหัส มันไปรู้แต่ “สิ่งที่ถูกรู้” เรียกว่า “อารมณ์”
ร่างกายก็เป็นอารมณ์เพราะเป็นสิ่งที่ถูกรู้ เวทนาก็เป็นอารมณ์เป็นสิ่งที่ถูกรู้ สัญญา สังขาร คือจิตที่มันมีความคิดดิ้นรนกระเสือกกระสน มันละเอียดเข้าไปอีก แต่ถ้าพูดถึงเข้ามาในร่างกายจิตใจก็มีอย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียดอีก
การที่ไปรู้แต่ทางร่างกายก็ถือว่าเป็นหยาบ พอรู้ของเวทนา คือสุข ทุกข์ มันผ่องใส เศร้าหมอง มันมีอาการแน่น อึดอัด เจ็บปวด ทุกข์ทรมาน มันผ่องใสมากเลย มันเบา มันสบายมากเลย อย่างนี้มันก็คือไปรู้เวทนา
แต่รู้ละเอียดเข้าไปอีกคือรู้จิต... กาย เวทนา แล้วก็รู้จิต จิตก็คือผู้รู้ที่มันคิดปรุงแต่ง ผู้รู้ที่คิดปรุงแต่ง คือผู้รู้ไปรู้อะไรปุ๊บ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เสียดสี รู้ธรรมารมณ์ รู้กาย รู้เวทนา รู้จิต
ผู้รู้ที่ไปรู้กายก็คิดปรุงแต่ง
ผู้รู้ที่ไปรู้เวทนาก็คิดปรุงแต่ง
ผู้รู้ที่ไปรู้ธรรมารมณ์ก็คิดปรุงแต่ง
เนื่องจากยังเห็นไม่ชัดตรงนี้ ทุกปัจจุบันขณะไม่ได้ฝึกให้เห็นผู้รู้ที่คิดปรุงแต่ง “ผู้รู้ที่คิดปรุงแต่ง” มันเป็น “ผู้รู้ตัวปลอม” หรือเรียกว่า “ผู้รู้ที่ยังปรุงแต่งได้” ที่เป็นวิญญาณขันธ์ทำงานร่วมกับเจตสิก เวทนา สัญญา สังขารอีกสามขันธ์ เมื่อปล่อยวาง มันเลยปล่อยวางไม่ถึงวิญญาณขันธ์ในขันธ์ที่ห้า มันก็เลยมีตัวตน..."
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
โอวาทธรรมจากไฟล์เสียง
181222A-1 สิ้นยึดถือผู้รู้ ไม่มีผู้ไป ไม่มีผู้มา ตอนที่ 1
22 ธันวาคม 2561
ฟังจากยูทูป :
https://youtu.be/Mh3521NQTPo
ฟังจากระบบซาวด์คลาวด์ :
https://soundcloud.com/luangtanarongsak/181222a-1-1
ดาวน์โหลด (คอมพิวเตอร์) :
http://bit.ly/2Cwty2B