ไม่มีรูปพรรณสัณฐานใด ไม่ปรากฏกิริยา อาการ หรืจอพฤติกรรมใด ไม่ปรากฏความเคลื่อนไหวใดเลย เรียกว่า วิญญาณ(รู้) หรือใจ(มโน) หรือจิตเดิมแท้ หรือจิตดั้งเดิม หรือต้นจิต นิพพานธาตุ ธรรมธาตุ ธาตุที่บริสุทธิ์ หรือพุทธะ ..ฯลฯ..ดังนั้น ทุกขณะปัจจุบันที่รับรู้รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และ ธรรมารมณ์ (ความรู้สึก นึก คิด ตรึก ตรอง ทุกกิริยาหรืออาการ) โดยไม่ปรากฏตัวผู้รู้ ไม่ปรากฏกิริยาหรือาการของผู้รู้ ปรากฏแต่สิ่งที่ถูกรู้ในทุกปัจจุบันขณะ เมื่อไม่ปรากฏตัวผู้รู้ หรือไม่หลงว่าตัวเราเป็นผู้รู้ หรือผู้รู้เป็นตัวเรา โดยเข้าถึงใจชัดแจ้งในเรื่องธรรมชาติของธาตุรู้ดังกล่าวแล้ว ก็จะเป็นธรรมชาติของธาตุรู้ตามธรรมชาติ หรือบรรลุนิพพานธาตุ ไม่มีตัวเราไปบรรลุถึงนิพพานธาตุ แต่เป็นเพราะมีแต่รู้ทุกขณะปัจจุบัน โดยไม่ปรากฏความเคลื่อนไหวของผู้รู้ผู้เห็นเลยแม้แต่น้อยหนึ่งนิดหนึ่ง ผู้รู้จึงเป็นธรรมชาติที่บริสุทธิ์ เป็นพุทธะ เป็นนิพพานโดยอัตโนมัติ
(ถ้าไปรู้เรื่องในอดีต หรือ อนาคต จะเป็นการคิดปรุงแต่ง ไม่ใช่รู้ตามธรรมชาติของธาตุรู้)
หลวงตา : รู้จนจิตนิ่งเฉยหรือจนตัวแข็งนั้นเกิดจากการหลงเอาจิตตสังขารหรือขันธ์ห้าปรุงแต่งเป็นตัวเราผู้รู้ เมื่อเห็นกิริยาอาการของผู้รู้อย่างนี้ ให้ปล่อยวางผู้รู้นั้นไปเสีย.... อยู่กับรู้จิตปัจจุบัน มิใช่อยู่กับจิตปัจจุบัน ถ้าไปอยู่กับจิตปัจจุบันจะติดอาการ..... เมื่อไหร่ทิ้งรู้จิตปัจจุบันนั่นแหละหลง.... ให้รู้ตัวอยู่ตลอดเวลาว่าหลงไปคิดเอง หรือรู้จิตทุกคิดขณะปัจจุบัน ถ้าหลงไปเป็นผู้คิดหรือหลงติดไปกับความคิด ก็ให้รู้สึกตัวขึ้นมา ให้อยู่กับรู้หรือผู้รู้ อย่าไปอยู่กับสิ่งที่ถูกรู้