สังขารกายเนื้อ สังขารกายจิต และผู้รู้ (วิสังขาร)
คงทำหน้าที่ของเขาตามปกติธรรมชาติ
ไม่มีอะไรยึดถืออะไร
ไม่มีตัวตนของเรายึดถืออะไร
ธรรมชาติคงดำเนินไปตามปกติจนกว่าสิ้นสังขาร
ก็จะมีแต่วิสังขารเท่านั้น
กายและจิตที่คิด ที่ปรุงแต่ง เป็นธรรมชาติปรุงแต่ง
ที่เกิดเองดับเอง ไม่ใช่เรา ตัวเรา หรือ ตัวตนของเรา
เมื่อตัวเราไม่มี หรือไม่มีเรา ตัวเรา หรือตัวตนของเรา
ดังนั้น ตัวเราที่รู้สึกว่าเรามีความคืบหน้าในการปฏิบัติ
ทรง ๆ อยู่ หรือ ตัวเราถอยหลังหรือไม่คืบหน้า
ล้วนแต่เป็นสังขารหรืออาการที่ปรุงแต่ง ไม่ใช่เรา
ตัวเรา หรือตัวตนของเรา
เมื่อ เราไม่มี หรือ ไม่มีตัวเรา
นอกจากร่างกายและจิตใจที่คิดหรือปรุงแต่งได้แล้ว
ก็เป็น "ธาตุรู้" ที่ไม่มีตัวตน ไม่อาจมีกริยาอาการใดได้
มีแต่รู้ที่ไม่มีตัวตน ไม่มีกริยาหรืออาการใดเลย
แล้วทำไมยังพยายามหาวิธีการพ้นทุกข์ให้ตัวเรา
ทำไมยังหาถูก กลัวผิด ให้ตัวเราอยู่อีก
ทำไมยังพยายาม ๆๆๆๆ ........ อยู่อีก
ปล่อยวางหมดทุกขณะ ไม่มีผู้เอา ไม่มีผู้ได้
ไม่มีผู้ถึง ไม่มีผู้เป็นอะไร
มีแต่ธรรมชาติเขาเป็นอย่างนั้นเอง
คือ ธรรมชาติใดที่ปรุงแต่ง (สังขาร) ย่อมเกิดเองดับเองเป็นธรรมดา
ส่วนใจหรือผู้รู้หรือธาตุรู้ไม่ปรากฏ
สิ้นผู้เสวย สิ้นผู้ยึดมั่น สิ้นผู้จะเอา สิ้นความอยากได้
อยากเอา อยากเป็น อยากบรรลุ อยากถึง
แม้อยากนิพพาน
สิ้นความปรารถนา หรือ ดับความอยากสนิทไม่มีส่วนเหลือ
ก็พ้นทุกข์ทันที
***********
หลวงตาณรงศักดิ์ ขีณาลโย
บันทึกเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2560