ปฐมเหตุ : สืบเนื่องจากคำถามโยมในไลน์แอด หลวงตาณรงค์ศักดิ์ Line ID : @luangta.narongsak
วันที่ 17 ธันวาคม 2562
โยม 1 : ณ ราตรีหนึ่ง....
1. โลกกระจกหกด้าน หลอกลวงให้ลุ่มหลง จับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่เคยรู้ว่ามีทางออก เวียนวนในเงาสะท้อนยากจะถอดถอนหลุดพ้นไป
2. โลกกระจกหกด้านแน่นหนา ยังมีช่องว่างให้คนบางคน กระตุกรู้เอะใจในเงาสะท้อน เหมือนมีอะไรมากกว่าแสงสะท้อนเท่าที่ครอบงำอยู่ เริ่มค้นหาระแวดระวังแยกแยะความหลงใหลในห้องกระจกหกด้าน
3. โลกกระจกหกด้านอันหลอกลวง มิอาจพ้นคนช่างสังเกต จนตระหนักรู้ว่า พบได้คนคนหนึ่งเป็นเพียง "ผู้สังเกตการณ์อย่างเงียบเชียบ" อยู่ในโลกอันล้นทะลักทะลวงด้วยคนมากมาย และเหตุการณ์วุ่นวายเหลือคณา แต่ย่อลงมาได้เป็น"เขาคือผู้รู้" กับ "ที่เหลือคือโลก" นอกจากเขาคนนั้น เขารู้สึกเป็นห้วง ๆ ว่า เขาคนนั้น "อยู่คนเดียวในโลก" และแล้ว..ระยะทางจากเขาผู้รู้ เริ่มห่างออกจากโลกภายนอก และแล้วห้องกระจกหกด้าน ก็สงบวิเวกลง เป็นห้องสงัดที่มีแต่เขากับห้องที่เงาเคลื่อนไหวไปมา
4. เมื่อโลกกระจกกลายมาเป็นห้องอันสงบสงัดของเขาผู้สังเกตคนนั้น เขารู้ว่าเขามีอยู่กับห้อง เมื่อมองไปสังเกตไป เขาได้หายไป เหลือรู้ว่าห้องว่างเปล่า แต่เขาผู้รู้ยังต้องการจะรู้อยู่ว่า ห้องว่างเปล่า รู้เปล่า ๆ ว่าห้องเปล่า ๆ ยังดำรงอยู่ด้วยการรู้ที่ยึดที่จะรู้
5. ห้องว่างที่ถูกรู้ว่าว่าง ได้หายจากการเป็นห้องว่าง ไม่มีห้องว่างเปล่าใด ๆ อีกแล้ว กำแพงห้องว่างหายไปแล้ว ไม่เหลืออะไรขีดคั่นอะไร ไม่มีการรู้อีกต่อไปว่าห้องว่างเปล่า อากาศในห้องกระจายออกรวมกับบรรยากาศอันกว้างใหญ่ ขอบเขตสมมุตคับแคบ กลายมารวมกับความไพศาล รู้ใหม่อันไร้ขอบเขต "รู้พบรู้" ที่เหมือนกัน เป็นหนึ่งเดียวกันทั่วจักรวาล โยงใยกันเป็นหนึ่งเดียวตลอดกาลนาน
จบราตรีอันมืดมิดยาวนานดั่งอนันตกาล....
~~~~~~~~~~~~
ทีมงานตอบคำถาม และนำความกราบเรียนองค์หลวงตา
ทีมงาน : กราบนมัสการองค์หลวงตาอย่างสูงเจ้าค่ะ
มีคำถามในไลน์แอดจากคุณ...ซึ่งอธิบายกลไกของการสิ้นหลงว่ามีตัวตน
โดยเรียงเป็นลำดับ ๆ มาตามนี้เจ้าค่ะ
::: ตอบคำถามคุณ.... โดยทีมงาน :::
อนุโมทนาสาธุกับสิ่งที่เขียนมา
ทีมงานขอโอกาสปรับในส่วนข้อ 4 แลข้อ 5 ดังนี้
4. เมื่อโลกกระจกกลายมาเป็นห้องอันสงบสงัดของเขาผู้สังเกตคนนั้น
เขารู้แต่ว่าห้องว่างเปล่า แต่เขาผู้รู้ที่รู้ห้องว่างเปล่านั้น ตัวเขาไม่ว่างเปล่า ตัวเขากลับมีตัวตนแต่ไม่เห็นตน
แต่ด้วยตัวเขาผู้รู้ที่คอยสังเกตอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย จนเมื่อขณะจิตหนึ่งที่ "ความรู้" ว่าห้องว่างเปล่าได้ขาดหายไป ชั่วขณะจิตนั้นตัวเขาผู้รู้ได้ดับหายไปด้วย
ความจริงได้ปรากฏขึ้น ตัวเขาผู้รู้เป็นสิ่งเกิดดับเหมือนสังขารตัวอื่น ตัวเขาผู้รู้จึงไม่ได้แตกต่างกับสังขารอื่น ๆ เลย
5. ถึงตอนนี้ไม่มีห้องว่างเปล่าใด ๆ อีกแล้ว เพราะรู้แจ้งแล้วว่า...ตัวเขาผู้รู้เป็นเพียงสิ่งเกิด ๆ ดับ ๆ ไม่มีอยู่จริง จึงสิ้นหลงยึดถือว่าผู้รู้เป็นตัวเป็นตน
เหลือแต่ "ความรู้" ที่ไม่มีเจ้าของอีกต่อไป กำแพงห้องว่างที่เกิดจากความยึดถือในตัวเขาที่เป็นผู้รู้จึงดับหายไป
อากาศในห้องกระจายออกรวมกับบรรยากาศอันกว้างใหญ่ ขอบเขตสมมุติที่คับแคบ สลายรวมกับความไพศาล เป็นรู้ที่สิ้นเปลือก(กำแพง)หุ้ม จึงไร้ขอบเขต
"รู้พบรู้" ที่เหมือนกันเป็นหนึ่งเดียวกันทั่วจักรวาลโยงใยกันเป็นหนึ่งเดียวตลอดกาลนาน
จบราตรีอันมืดมิดยาวนานดั่งอนันตกาล....
~~~~~~~~~~~~~
หลวงตา : สาธุ ดีแล้ว
เมื่อจบที่ใจ รู้แจ้งที่ใจ สิ้นยึดที่ใจแล้ว
ทุกปัจจุบันขณะจะรู้แจ้งแก่ใจว่า ขันธ์ห้า เป็นเพียงธรรมชาติปรุงแต่งเกิดดับ ในธรรมชาติที่ ไม่เกิดดับ ส่วนผู้หลงยึดมั่นถือมั่นไม่มี
~~~~~~~~~~~~~
โยม 2 : เมื่อ "ใจ" เป็นอิสระ ไม่เกาะเกี่ยวด้วยเครื่องร้อยรัดใดทั้งภายในภายนอก
ขณะนั้น... ก็เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ เป็น "ธรรมธาตุ" เช่นเดียวกับธรรมธาตุบริสุทธิ์ทั่วจักรวาล
ธรรมชาติแบบเดียวกันเท่านั้น จึงจะไหลไปรวมกัน "เป็นเนื้อเดียว"
(กราบ) (กราบ) (กราบ)
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
โอวาทธรรมจากปุจฉาวิสัชนา
17 ธันวาคม 2562
~~~~~~~~~~~~~~~