ปฐมเหตุจากไฟล์เสียง
แม่ชี : กราบนมัสการหลวงตาค่ะ ถึงใจที่ว่าเป็นลูกพระพุทธเจ้าเป็นยังไงค่ะหลวงตา มันก็สงบดีค่ะ
หลวงตา : ดีแล้ว สงบดีก็ดีแล้ว ที่ผ่านมามันเป็นแค่ความจำ มันไม่ได้เป็นความจริง
เราหลงว่ามันเป็นความจริง นึกว่ารู้จริงเห็นจริงเป็นจริง ว่างจริง นิพพานจริง สุดท้ายปลอมหมด
ตอนนี้มันก็จะเริ่มเป็นจริง เริ่มเป็นของจริง เราก็จะรู้ถึงพุทธคุณ ธรรมคุณ พระสังฆคุณ อันไม่มีที่สุดไม่มีประมาณเอง ก็จะรู้ถึงคุณพระพุทธเจ้าเป็นยังไง คุณของพระธรรมเป็นยังไง คุณของพระอริยสงฆ์เป็นยังไง
ที่ผ่านมามันของปลอมหมด ก็ต้องเดินอย่างนั้นแหละ
แม่ชี : ต้องอด (อาหาร) ต่อไปใช่มั้ยคะหลวงตา?
หลวงตา : มันก็ยังไปอยู่ข้างในลึก ๆ อยู่ในใจลึก ๆ คือ มันไม่ซ่านออกไปข้างนอก แต่มันไปหดตัวอยู่ข้างใน
ไปหดตัวแล้วก็เป็นความปรุงแต่งอยู่ข้างใน เหมือนกับว่ามันเป็นไข่แดงไข่ดาว ตอนนี้มันไม่ซ่านออกไปเหมือนเมื่อก่อน เมื่อก่อนเห็นอะไรก็อยากจะพูด ได้ยินอะไรก็อยากจะพูดมันไม่รู้ไม่เห็นเลย
ตอนนี้มันเริ่มรู้เห็นบ้างแล้ว แต่ในความรู้เห็นมันคล้าย ๆ กับมันยังเก็บตัวเองซ่อนเข้าไปในไข่แดง เหมือนไข่ดาว แล้วก็มีตัวตนของเราน่ะอยู่ในไข่แดง คือมันยังไปพูดไปพากษ์ไปบ่นอยู่ในไข่แดง แล้วเราไม่ได้เป็น "ผู้เห็น" แต่ไปเป็นผู้เป็นไปเป็นผู้ที่บ่น ไปเป็นผู้ที่พูด แต่ไม่ได้เห็นว่าจิตมันบ่นมันพูดมันพากษ์ ไม่เห็น "จิตตสังขาร"
เหมือนกับที่เราโพสต์ไปของ "หลวงปู่หล้า เขมปัตโต"
เมื่อเย็นนี้ ที่ว่า ใจย่อมรู้ว่าใจเป็นอย่างไร
ใจของตัวเองก็ย่อมรู้ว่าใจของตัวเองเป็นยังไง
ใจก็ย่อมรู้สังขารในใจ แล้วก็ไม่ติดสังขาร ไม่ยึดสังขารแล้วก็ใจย่อมรู้ใจ แล้วก็ไม่ติดใจ ไม่ยึดใจ
คือใจนี่มันตั้งแต่ว่ามันรู้ทุกอย่างภายในใจ ไม่ใช่ว่าพูดออกไปโดยไม่รู้ เราเห็นอะไรเราก็อยากจะพูด ได้ยินอะไรเราก็อยากจะพูด เราอยากจะพูดทั้งวัน อยากจะไปโน่นไปนี่ ทั้งวัน เราไม่เห็น
มันจะต้องมาเริ่มเห็นว่า ทุกปัจจุบันขณะมันมีอะไรเกิดขึ้นในใจ มันมีแต่ปรากฏการณ์เกิดขึ้นในใจ เริ่มเห็นแล้วมันก็ถอยตัวหดตัวเองเข้ามาเรื่อย ๆ มาเป็นผู้เห็น แล้วมาพูดอยู่ในผู้เห็นผู้พากษ์ ผู้พูดผู้พากษ์
ใจมันก็เริ่มเห็นผู้พูดผู้พากษ์ ว่าเป็น “สังขาร” แล้วมันจึงมาพบ “ใจ” แล้วมันก็มายึดใจที่ไม่สังขาร พยายามจะรักษาใจที่ไม่สังขาร
แต่ 3-4 บรรทัดของหลวงปู่หล้านี่คือมันจบเลย
คือบรรทัดที่หนึ่ง คือใจย่อมรู้สิ่งที่เกิดขึ้นในใจ
ใจเป็นยังไงใจย่อมรู้ใจ ใจดี ใจชั่ว ใจบุญ ใจบาป ใจกุศลใจอกุศล ใจย่อมรู้ใจ
สอง ใจย่อมรู้สังขารในใจ
แต่บุญบาปดีชั่วน่ะ มันก็คือกิเลสอย่างหยาบ
ใจย่อมรู้สังขารในใจ ก็คือกิเลสอย่างกลาง ก็คือว่ามันไม่ส่งออกไปหาคนนั้นคนนี้ แต่มันพูดอยู่ในใจ
แม้แต่เราอดข้าวเราอยู่คนเดียวในห้องไม่ให้ออกมา แต่มันพูดไม่หยุดนะ มันพูดไม่หยุดขนาดอยู่ในห้องไม่ออกมา พูดอยู่คนเดียว
เพื่ออะไรก็เพื่อว่า ให้สำรวมซะห้าประตู ตา หู จมูก ลิ้น กาย ห้าประตู เพื่อให้รู้ประตูใจ เพราะว่าที่ผ่านมา เราไม่เคยรู้ประตูใจเลย สอนยังไงเรื่องผู้รู้ ผู้พูดผู้พากษ์ เราไม่เคยเห็นเลย เพราะเราอยู่แต่ความว่าง
เราอยู่แต่ความว่างเปล่า ที่เป็นนิพพานแล้ว ความว่างเปล่าที่เป็นนิพพานแล้ว แต่เราไม่เห็น "ตัวเรา" เลยในความว่าง
ที่ผ่านมาจึงให้อดอาหาร ก็เพื่อให้เห็นว่า แม้แต่ไม่กระทบทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ห้าประตูภายนอก ปิดประตูเข้าไปอยู่คนเดียว อดอาหารอดนอนผ่อนอาหาร อยู่ในห้องคนเดียวมันก็จะเหลือแต่ประตูใจแล้วตอนนี้ ตอนนี้มันพูดไม่หยุดเลยประตูใจ เริ่มเห็นแล้วตอนนี้ เริ่มเห็นประตูใจ
ที่ผ่านมาหลายสิบปี ปฏิบัติ ไม่เห็นประตูใจเลย คือ เอาตัวเราไปเห็นแต่ความว่าง แต่ไม่เห็นในประตูใจเลย ว่ามีตัวเราเข้าไปฝังตัวอยู่ในความว่าง จะพูดยังไงก็ไม่เห็น
ทีนี้พอเราไปอยู่ตัวคนเดียวในห้อง แล้วอดนอนด้วยผ่อนอาหารด้วย มันก็จะเริ่มเห็นแล้วว่า อุ๊ย... อยู่คนเดียวมันพูดไม่หยุดนี่หว่าเนี่ย ขนาดไม่กระทบอะไรเลยพูดอยู่คนเดียวพูดไม่หยุดเลย
แต่ในขั้นตอนนี้ มันยังไปเป็นผู้พูดไม่หยุด แต่ไม่ได้เห็นว่าผู้พูดไม่หยุดน่ะ มันเป็นสังขาร ไม่ใช่เป็นเราเป็นตัวเราเป็นตัวตนของเรา
แต่เรากลับไปเป็น อยู่คนเดียวแต่พูดไม่หยุด เข้าใจมั้ย แล้วเห็นแบบนี้มั้ย? เราเนี่ยพูดไม่หยุดจริง ๆ แต่ไม่ใช่ว่าเห็นจิตมันพูดไม่หยุดแล้วก็สักแต่ว่าเห็น แต่ "เรา" ไปเป็นคนพูดไม่หยุด นี่อยู่ในขั้นนี้
แต่ถ้าออกมานอกห้องแล้วมากินอิ่มนอนหลับ ตอนนี้ก็พูดจริง ๆ เราน่ะพูดทางปากเลย เห็นอะไรก็อยากพูด ทีนี้ก็ไม่เห็นจริง ๆ เลย
พอสำรวมกายซะห้าประตู อดนอนผ่อนอาหารมันก็เริ่มเห็นจริง ๆ แล้วว่า เอ๊ะ ทำไมอยู่คนเดียวมีแต่ประตูใจแต่มันพูดไม่หยุดเลย แต่ปัญหาตอนนี้คือ มันเริ่มเห็นแล้วล่ะว่าในประตูใจเริ่มรู้จักประตูใจแล้ว ตอนนี้เริ่มรู้จักประตูใจจริง ๆ แต่กลายเป็นว่าเราเป็นคนพูดไม่หยุด เราพูดนั่นพูดนี่ พูดนี่พูดนั่น พูดไม่หยุดเลยทั้งวัน ตลอดเวลาเลย
เราต้องฝึกไปจนกระทั่งเห็นว่า... ไอ้ตัวที่พูดไม่หยุดเนี่ย เป็นตัวสังขาร ทุกปัจจุบันขณะ มันเป็นสังขาร เป็นความปรุงแต่ง เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
อย่าหลงไปสังขาร เห็นสังขารแต่ไม่หลงไปเป็นสังขาร
ที่หลวงปู่หล้าท่านว่า บรรทัดที่สอง ที่ว่า... ใจย่อมรู้สังขาร ใจไม่ติดสังขาร
แต่อันแรกนี่มันคืออารมณ์เลย มันเป็นอารมณ์มันเป็นอย่างนู้นมันเป็นอย่างนี้ นี่บรรทัดแรก
บรรทัดที่สอง ใจย่อมรู้สังขาร ไม่ติดสังขาร ไม่ไปเป็นสังขาร พอรู้สังขารไม่ติดสังขาร กลายเป็นใจที่มันไม่มีอะไรเลยเหมือนกับไม่มีตัวจิตตัวใจ มันว่างเปล่าไปหมด
ก็เห็นว่าพอไม่ติดสังขาร แล้วก็พยายามมีผู้มารักษา มายึดใจที่ว่างเปล่า ก็ใจก็ย่อมรู้ใจ ใจรู้ใจและไม่ติดใจไม่ยึดใจ
ใจรู้สังขารในใจไม่ยึดสังขารในใจ คือ ไม่ไปเป็นสังขารแล้วก็ใจรู้ใจ ตอนนี้รู้ว่าใจเนี่ย รู้จักใจที่ไม่สังขารแล้ว แต่ก็พยายามจะยึดและรักษาใจที่ไม่สังขารไว้
อันนี้มันก็ "รู้เท่าทัน" ว่ามีผู้มายึดใจที่ไม่สังขาร ก็ใจรู้ใจแล้วใจก็ไม่ยึดใจ นั่นแหละที่เป็นความรู้บริสุทธิ์
ความรู้บริสุทธิ์ ก็เรียก “นิพพาน”
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
โอวาทธรรมจากไฟล์เสียง
191209B-1 อดนอน ผ่อนอาหาร ตอนที่ 1 (บางส่วน)
ฟังจากระบบซาวด์คลาวด์ : https://soundcloud.com/luangtanarongsak/191209b-1-1
☆หมายเหตุ : โอวาทธรรมคำสอนองค์หลวงปู่หล้า เขมปัตโต ที่องค์หลวงตาฯ อ้างถึงในไฟล์เสียง
อ่านธรรม ก็คืออ่านใจ
อ่านใจในที่นี้ คือ การรู้เท่าทันใจของตัวเอง
ใจจะดี ใจจะชั่ว ก็ให้ดูใจ ใจขี้เกียจ ก็จงหมั่นดูใจ ใจขยัน ก็จงหมั่นดูใจ แล้วใจจะเข้าใจเอง
ใจจะรู้ใจ ใจจะรู้ธรรม ใจจะรู้สังขาร และใจจะละสังขาร ใจจะละใจ
ในที่สุด หมดการยึดมั่น กล่าวได้ว่า หมดความสงสัยใด ๆ เพราะมีใจเป็นบัลลังก์
ที่มา : ภาพธรรมจาก fb : Zen วีถีแห่งการรู้แจ้ง
https://bit.ly/2En9YGo
~~~~~~~~~~~~~~~~~
ปรารภเหตุเป็นปุจฉาวิสัชนาธรรม (ภาคปฏิบัติต่อเนื่องจากไฟล์เสียง)
หลวงตา : *****แม่ชียังหลงคิดละเอียด ๆ อยู่ข้างใน
ถ้าไม่พูดคุยก็จะเห็นแต่อาการนิ่ง แต่แม่ชีจะเข้าใจผิดว่าจิตของตนเองนิ่งเงียบสงบดี
แต่ถ้าได้พูดคุย รวมทั้งคุยทางโทรศัพท์ หรือ คุยด้วยการพิมพ์คุยกันทาง Line หรือ Facebook ก็จะฟุ้งซ่าน ส่งจิตออกนอกโดยไม่รู้ตัว
เป็นเพราะยังไม่เห็นจิตปัจจุบันขณะ เห็นแต่อารมณ์หรืออาการของจิตหรืออาการของใจที่ถูกรู้
ทั้งนี้เพราะแยกไม่ขาดระหว่างอารมณ์หรืออาการที่ถูกรู้ในปัจจุบันขณะ กับจิตผู้รู้อารมณ์ ซึ่งโดยปกติธรรมชาติจิตเมื่อรู้อารมณ์ก็ต้องเอามาคิดปรุงแต่งในใจ (เพราะจิตเกิดจากวิญญาณขันธ์ซึ่งเป็นผู้รู้อารมณ์ในปัจจุบันขณะ ทำงานร่วมกับเจตสิก คือ เวทนา สัญญา สังขาร)
*****จิตผู้รู้อารมณ์แล้วเอามาคิดปรุง หรือ ปรุงคิดในใจทุกขณะปัจจุบันขณะ ซึ่งจิตผู้รู้ทุกดวง ต้องคิดปรุง หรือ ปรุงคิด จะเกิดดับเร็วมาก ๆ ๆ ๆ ..... เขาเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือ เกิดเอง ดับเอง เกิดเอง ดับเอง....... ตลอดเวลา
*****ถ้ารู้เห็นจิตผู้รู้คิดปรุง หรือ ปรุงคิด เกิดเอง ดับเอง เกิดเอง ดับเอง ทุกปัจจุบันขณะ... ด้วยใจบริสุทธิ์ หรือธาตุรู้บริสุทธิ์ (เพราะไม่มีผู้ยึดมั่นถือมั่น) ซึ่งเป็นธรรมชาติที่รู้ขึ้นมาเอง เหมือนกับรู้ว่านั่ง ยืน เดิน นอนขึ้นมาเอง โดยไม่ต้องมีเจตนารู้ จงใจรู้ พยายามรู้ ตั้งใจรู้ หรือ ไม่มีเจตนาเหลือบมองดูข้างใน โดยไม่มีผู้หลงยึดมั่นถือมั่น ก็จะไม่มีอวิชชา ตัณหา อุปาทาน หรือ กิเลส ตัณหาให้เป็นทุกข์
แม่ชี : อีกอย่างเจ้าค่ะ... อาการนิ่งที่เกิดจากที่ฝึกจิตมาผิด หมายไว้จนชินกับร่องเดิมแบบนี้ กับพลังอัด มันเป็นอาการของจิตที่มันกดข่ม เครียด พยายาม (เพราะอดข้าวมาหลายวัน) มันปน ๆ กัน หรือว่ามันมีพลังอื่นแทรกเข้ามาจริง ๆ อันนี้ไม่ทราบจริง ๆ เจ้าค่ะ
หลวงตา : จิตที่นิ่งข้างในมันเป็นอารมณ์หรือ อาการของจิต หรือ อาการของใจที่ถูกรู้ แต่แม่ชีเข้าใจผิดว่าจิตของตนเองนิ่งเงียบสงบดี จึงทำจิตนิ่งจนเป็นปกตินิสัย ใครจะบอกสอนอย่างไร ไม่ยอมฟัง เพราะเข้าใจผิดว่าทำถูกแล้ว
ครั้นกระทบกับสิ่งที่ไม่พอใจ ก็จะยิ่งสะกดจิตหรือทำจิตให้นิ่งเฉยนิ่งมากยิ่งขึ้นไปอีก โดยไม่รู้ตัวว่าทำผิด ปฏิบัติผิด เมื่อเก็บไม่อยู่ ก็จะระเบิดอารมณ์ใส่คนอื่น ๆ ...
อารมณ์ที่ถูกเก็บกดไว้ข้างใน มีผลทำให้เกิดพลังอัดแน่นจากข้างใน เพราะคับแค้นแน่นหน้าอก ที่ไม่ได้อย่างใจหรือถูกขัดใจ เพราะถ้าได้พูดคุยหรือเล่นโทรศัพท์มือถือ ก็จะไม่อึดอัดคับข้องใจนิ่งอยู่ภายใน แต่จะฟุ้งซ่านส่งจิตออกนอกแทน
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
โอวาทธรรมจากปุจฉาวิสัชนา
15 ธันวาคม 2562
~~~~~~~~~~~~~~~