หลวงตา : "สิ่งเกิดดับ" มันก็เกิดดับ
"ความไม่เกิดดับ" มันก็คงเป็นความไม่เกิดดับ
แต่ความยึดถือไม่มี
ไม่ใช่ว่าพอไม่ยึดถือแล้ว สิ่งเกิดดับมันไม่ได้เกิดดับบนความไม่เกิดดับ หรือยึดถือแล้ว สิ่งที่เกิดดับ ไม่เกิดในความไม่เกิดดับ มันก็เกิดดับของมันอยู่อย่างนั้นแหละ
ธรรมชาติไหนเกิดดับ มันก็เกิดดับ ธรรมชาติไม่เกิดไม่ดับ มันก็ไม่เกิดไม่ดับของมันอยู่นั่นแหละ แต่เพียงมันไม่รู้ว่า เออ... ความเกิดดับมันมีอยู่ ความไม่เกิดดับมันมีอยู่ ... “ไม่รู้” ... ไม่รู้จึงเรียกว่า “อวิชชา”
แต่ไม่ใช่ว่า เรารู้แล้ว หรือเราไม่รู้ ความเกิดดับ ก็ยังเกิดดับอยู่ในความไม่เกิดดับ พอเราไม่รู้ มันก็ยังเกิดดับอยู่ในความไม่เกิดดับ เพราะว่าสังขารมันคู่โลก คู่ธรรมชาติ
"สังขาร" คือความเกิดดับ "วิสังขาร" คือความไม่เกิดดับ เขาเป็นของคู่ธรรมชาติ ของคู่ธรรมชาตินะไม่ใช่คู่ตัวเรา! คู่ธรรมชาติ คือเราขี้ตู่ว่าคู่ตัวเรา
ธรรมชาติที่เกิดดับมันย่อมเกิดบนความไม่เกิดดับเราจะรู้หรือไม่รู้แต่ธรรมชาตินี้ยังมีอยู่ เปรียบเหมือนอย่างนี้ ...
ธรรมชาติที่เกิดดับ... ก็คือดวงดาวทุกดวงบนท้องฟ้า ธรรมชาติไม่เกิดไม่ดับ... เปรียบเหมือนท้องฟ้าหรืออวกาศ
ธรรมชาติที่เกิดดับ เหมือนดวงดาวทุกดวงที่ลอยอยู่ในอวกาศ เราจะรู้หรือไม่รู้ว่าจักรวาลมันมีอยู่
ดวงดาวทุกดวง โลก ดวงดาว ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ เรียกว่าดวงดาว หมดทุกอย่างเรียกว่าดวงดาวหมด ทางช้างเผือกมีเป็นล้าน ๆ หลายล้านดวง มันเป็นสิ่งที่เกิดดับอยู่ในอวกาศ
เด็ก ๆ จะรู้หรือไม่รู้ ดวงดาวทุกดวงที่เปรียบเหมือนสังขารก็ยังเกิดดับไปทีละดวง แต่ธรรมชาติของความไม่เกิดดับ คือ จักรวาลก็ยังเป็นความไม่เกิดดับ
ฉะนั้นจะรู้หรือไม่รู้ ความเกิดดับมันเกิดดับอยู่บนความไม่เกิดดับ
เราเอง ก็คือ จักรวาล... เราคือธรรมชาติ เราไม่ได้แตกต่างจากธรรมชาติ
หมาตัวหนึ่ง ก็คือหนึ่งในหน่วยในธรรมชาติ แมวเพียงหนึ่งตัวก็เป็นในหนึ่งหน่วยในธรรมชาติ เราก็ยังอยู่บนผิวโลกหนึ่งหน่วยในธรรมชาติ
*** ไม่ใช่ว่าเราแตกต่างจากธรรมชาติ เราคือธรรมชาติ ***
เพราะงั้นในร่างกายจิตใจของเราเนี่ย มันเลยกลายเป็นธรรมชาติที่เกิดดับอยู่ในความไม่เกิดดับ เราจะรู้หรือไม่รู้ธรรมชาติร่างกายจิตใจเรา ก็เป็นธรรมชาติเกิดดับอยู่ในความไม่เกิดดับ
แต่พอรู้แล้วมันหายโง่ ไม่รู้มันยังโง่อยู่ แต่ถ้ารู้แล้วยึดมัน... ก็เท่ากับไม่รู้
แต่ถ้ารู้แล้วไม่ยึด ธรรมชาติเกิดดับก็คงเกิดดับอยู่ในความไม่เกิดดับ ไม่มีใครเป็นเจ้าของ
ไม่มีใครเป็นเจ้าของธรรมชาติ จึงเรียกว่าธรรมชาตินั้น "บริสุทธิ์" ธรรมชาติบริสุทธิ์... จึงเรียก "นิพพาน"
บริสุทธิ์ไม่ใช่ว่าเราไปฟอกช่วยฟอกมันนะ บริสุทธิ์ เพราะว่าบริสุทธิ์มันเป็นเรื่องของมัน แต่พอไม่มีตัวเราไปเป็นเจ้าของมันเนี่ย มันก็เลยบริสุทธิ์โดยธรรมชาติของมัน ไม่ใช่ว่าเราไปช่วยมันให้บริสุทธิ์ เหมือนกับผู้หญิงสาวพรหมจารีย์ เขาก็บริสุทธิ์ของเขาอยู่นั่นแหละ ไม่ใช่เราไปช่วยหญิงสาวพรหมจารีย์ให้เขาบริสุทธิ์ พอเราไปช่วยเขา เขาเสียความบริสุทธิ์
งั้นความบริสุทธิ์เราไปช่วยเขาไม่ได้ เพียงแค่ไม่ยึดเขาเท่านั้นแหละ เขาเป็นความบริสุทธิ์โดยธรรมชาติ หญิงสาวพรหมจารีย์เขาบริสุทธิ์โดยธรรมชาติ พอเราไปยึดถือเป็นเจ้าของครอบครองเขา จะไปช่วยเขาเท่านั้นแหละ มันเสียความบริสุทธิ์
โยม : เราไม่ยึดถือเขาเพราะเรายึดเขาไม่ได้ใช่มั้ยครับ?
หลวงตา : ก็เราไม่มีอยู่จริงไง เราไม่มีอยู่จริง!
มีแต่ธรรมชาติสังขารเกิดดับอยู่ในวิสังขาร เพราะความรู้สึก "เป็นเรา" เป็นสังขาร ความจริงเราก็ไม่มีอยู่จริง
เพราะความรู้สึกเป็นเราเป็นตัวเราเป็นสังขาร ความรู้สึกเป็นเราเป็นตัวเรา ตัวตนของเราเป็นสังขาร
มันจึงไม่ใช่ว่ามี "สังขาร" มี "วิสังขาร" ที่เป็นความว่าง แล้วมีเราอีกหนึ่งเป็นสาม... มีตัวเราแต่ไอ้ที่เรารู้สึกเป็นตัวเรา มันก็คือมันไปรวมกับสังขาร มันเป็นสังขาร มันเลยกลายเป็น... แม้แต่ความคิดความรู้สึกเป็นตัวเรามันก็เลยกลายเป็นสังขารอยู่ในความว่าง
แต่เรากลับมาเข้าใจว่านอกจากสังขารแล้วเนี่ย แล้วก็วิสังขาร ยังมี "ตัวเรา"อีกหนึ่ง! แต่แท้จริงไอ้ตัวเราอีกหนึ่งมันก็คือสังขาร
ถ้าสังขารพูดได้... มึงมารวมกับกูซะ! เออ มึงเป็นพวกเดียวกับกู ไปแยกออกไปโน่นเลย ดันไปแยกตัวเป็นอิสระ กลับคืนมารวมกับกูซะ! มันจะได้เหลือสองไม่เป็นสาม
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
โอวาทธรรม
วันที่ 19 ตุลาคม 2562
~~~~~~~~~~~~~~~