โยม : ขอกราบเรียนถามหลวงตา พระโสดาบันละสักกายทิฐิได้แล้ว
ขอเรียนถามว่ายังมีความรู้สึกว่าเป็นเราอยู่ไหมครับ
หลวงตา : หลวงตาก็มีความรู้น้อย พอจะตอบตามความเข้าใจดังนี้
พระโสดาบัน ท่านรู้แจ้งถึงใจในอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในร่างกายตนและคนอื่น เห็นว่ารูปหรือร่างกายไม่ใช่ตัวตนของเรา
แต่ยังหลงยึดถือจิต หรือ จิตตสังขาร หรือ ความปรุงแต่ง หรือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นเรา ตัวเรา ของเราอยู่ เพราะไม่รู้เห็นตามความเป็นจริงด้วยใจว่า จิต หรือ จิตตสังขาร หรือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ปรากฏขึ้นมาเหมือนฟ้าแลบ ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า แล้วดับไป ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เรา ตัวเรา ของเรา
แม้ถึงอนาคามีแล้ว ก็ยังมีความรู้สึกว่า
เราเหนือกว่าเขา
เราต่ำกว่าเขา
เราเสมอเขา
ถึงอนาคามีแล้ว ถ้าเคยทะเลาะกันมาก่อน เมื่อพบกันแม้ไม่โกรธกันแล้ว แต่ยังมีความเก้อเขินในใจพอให้เจ้าตัวรู้ได้ เพราะจำได้ว่าเราเคยทะเลาะกันมาก่อน
ทั้งนี้ เพราะยังหลงยึดถือจิตตสังขาร หรือ หลงเป็นจิตตสังขาร ว่ามีตัวตน หรือเป็นตัวตน เป็นเรา ตัวเรา ของเรา หรือ หลงเอาจิตตสังขารมายึดถือ “ใจ” ซึ่งเป็นความว่าง
จึงยังไม่เป็น “ใจ” บริสุทธิ์ เป็นใจแท้ เป็นธรรมแท้ ที่เป็นวิสังขาร อสังขตธาตุ อสังขตธรรม ธรรมธาตุ มหาสุญญตา นิพพาน
ส่วนพระอรหันต์ ท่านถึงใจที่สิ้นความปรุงแต่งแล้ว ใจของท่านว่างเปล่า
ดังนั้น อย่ามัวติดในความว่าง ความสงบ
เพียรให้เห็นสัจธรรมความจริง “อย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย” ให้เห็นความสกปรก ความแก่ เจ็บ ตาย เน่าเปื่อยผุพัง สลายเป็นธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ
มาจากดินกลับคืนสู่ดิน
มาจากน้ำกลับคืนสู่น้ำ
มาจากลมกลับคืนสู่ลม
มาจากไฟกลับคืนสู่ไฟ
ไม่ใช่ตัวตนของเรา
เมื่อเพียรสอนจิตให้เขารู้เห็นตามความเป็นจริงในร่างกายตนดังนี้แล้ว จนถึงใจ จิตเขาจะหายโง่ ปล่อยวางความหลงยึดถือของเขาเอง
ถ้าจิตยังไม่รู้เห็นตามความเป็นจริง แม้เราจะพยายามปล่อยวาง หรือจะทำอย่างไร จิตเขาก็ไม่ยอมปล่อยวาง
เหมือนกับหลงรักตุ๊กตาสวยมาก ๆ ไม่ยอมห่างเลย แต่เมื่อรู้ความจริงว่า ภายในตุ๊กตานั้นบรรจุอุจจาระไว้
เท่านั้นแหละ จิตมันก็ปล่อยวางความหลงยึดถือเอง
เมื่อปล่อยวางกายแล้ว จึงเห็นจิตเกิดดับ เกิดดับ .......... จนสุดท้ายลงแก่ใจว่า “จิต” ก็ไม่เที่ยง ไม่มีตัวตนของจิต จึงไม่ใช่เรา ตัวเรา ของเรา
จิตจึงปล่อยวางความหลงยึดถือตัวมันเอง
เมื่อปล่อยวางกายและจิตตสังขารแล้ว จึงพบ “ใจ” ที่ไม่สังขาร (วิสังขาร) ไม่เกิดดับ ไม่มีตัวตน ว่างเปล่าเหมือนกับความว่างของธรรมชาติหรือจักรวาล
แต่ถึงตอนนี้ ผู้ปฏิบัติธรรมก็จะหลงพยายามเอาจิตตสังขารมายึดถือครอบครองเป็นเจ้าของ “ใจ” จึงทำให้ใจไม่บริสุทธิ์
ด้วยสติ สมาธิ ปัญญา ศรัทธา ความเพียร ขันติ เฝ้าสังเกตอยู่เงียบ ๆ จึงรู้เห็นหรือรู้เท่าทันหัวหน้าโจร (อวิชชา ตัณหา อุปาทาน) ว่า เราหลงเอาจิตตสังขารมาคิด มาปรุงแต่งเป็นเรา พยายามที่จะยึดถือ “ใจ” ซึ่งเป็นความว่างให้ได้
เมื่อรู้เท่าทันหัวหน้าโจรเสียแล้ว หัวหน้าโจรก็ตายไปเอง
“ใจ” เมื่อสิ้นเราหรือตัวเราครอบครองเป็นเจ้าของแล้ว ก็เป็น ใจว่างบริสุทธิ์ หรือ จิตว่างบริสุทธิ์ ที่ไม่มีตัวจิตตัวใจ
นี่แหละ คือ “นิพพาน”
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
โอวาทธรรมจากปุจฉาวิสัชนา
27 กันยายน 2562