หลวงตา :
ผู้ที่บอกว่า “ไม่ยึดถืออะไรแล้ว.... ไม่ยึดถือกิเลส
ไม่ยึดถือความสุข ไม่ยึดถือความทุกข์
ไม่ยึดถือความว่างเปล่า ไม่ยึดถือโลก ไม่ยึดถือธรรม
ไม่ยึดถือแม้นิพพาน
ว่างเปล่าแล้ว นิพพานแล้ว....” ล้วนแต่ยังหลงยึดถืออยู่
(ยังมีอวิชชา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ ชรา มรณะ.... ความทุกข์ทั้งมวล)
แต่กลับไม่เห็นว่ามีเรา มีตัวเรา มีตัวตนของเรา
เป็นผู้รู้ ผู้เห็น ผู้เข้าใจ ผู้ว่างเปล่า ผู้ถึงธรรม ผู้บรรลุธรรม ผู้นิพพาน
เมื่อไม่เห็นตัวเรา จึงหลงยึดถือขันธ์ห้า หรือ ยึดถือว่าจิตหรือใจเป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นของเรา แล้วหลงเอาเรา ตัวเรา จิตใจของเราไปหลงยึดถือคนอื่น ๆ สิ่งอื่น ๆ อีก
ให้เป็นกิเลส ภพ ชาติ และ ความทุกข์ โศก เศร้า เสียใจ คับแค้นใจ ไม่สบายกาย ไม่สบายใจ...
ท่านเหล่านี้จะไม่หันมามองดูตัวเองที่ยังมีกิเลส และความทุกข์
แต่จะมองดูแต่ความว่าง.... ความไม่ยึดถือ.... ความไม่มีอะไรมีค่าต่อใจ....
แต่ถ้าสังเกตให้ดี ๆ โดยไม่หลอกลวงตัวเอง ไม่หลอกลวงผู้อื่น จะเห็นความหลง ว่า
*** ความว่าง ความสักแต่ว่ารู้ ความรู้ซื่อซื่อ ความไม่ยึดถืออะไร ธรรมหรือ นิพพาน มีค่าต่อใจ
***** ต้องมองดูตัวเอง ไม่ใช่เอาตัวเองไปมองดู ไปรู้ ไปเห็นความว่าง โดยเข้าใจผิดว่าความว่างที่รู้เห็นนั้นเป็นนิพพาน
ต้องรู้ตัวเอง จึงจะเห็นตัวเอง ว่าเป็นเพียงสังขาร คือ สิ่งปรุงแต่ง เป็นเพียงสมมติ ไม่เที่ยง เกิดดับ เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
ไม่ใช่ตัวตนคงที่ ไม่ใช่เป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นของเรา
“สัพเพ ธัมมา อนัตตา”
ไม่ควรหลงยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นของเรา
“สัพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ”
~~~~~~~~~~~~~~
โยมส่งการบ้านหลังจากได้รับถ่ายทอดธรรมจากองค์หลวงตา
โยม : ศรัทธาใน "รู้" ที่เป็นอมตะ ไม่มีแหล่งกำเนิด
ไม่มี server แต่ไม่มีที่สิ้นสุด
ศรัทธาใน "รู้ที่ไร้ตัวตน" อย่างแท้จริง จึงสามารถนำความรู้
ที่ไร้ขีดจำกัดผ่านธาตุรู้อันบริสุทธิ์ของธรรมชาติ
มาใช้ทำประโยชน์ได้
ไม่ใช่ศรัทธาใน "ความรู้ ความเห็น ความเข้าใจ"
ที่มีฐานข้อมูลตั้งต้นมาจาก "อัตตา"
ผ่านความชาญฉลาดของสมองในการตีความและนำเสนอ
สติปัญญาของขันธ์ห้ามันจะฉลาดล้ำสักเพียงใด
มันก็ไม่ใช่ "ของเรา"
มันโง่เองที่หลงไปยึดความรู้ที่เปลี่ยนแปลงได้
ความรู้ที่กระหายเพื่อเติมเต็มความคงอยู่แห่งอัตตา
ความรู้ที่มันหลงคิดอย่างตื้น ๆ ว่าถ้าไม่ตักตวงเอามาเป็นสมบัติของเรา มันจะดูโง่ สมองจะกลวงเพราะไม่มีความรู้บรรจุ
ดูไม่สมฐานะกับผู้ปฏิบัติธรรม... กลายเป็นหลงแบกหามสิ่งที่ไร้สาระแก่นสาร.. โง่จริง ๆ เลย
ภูมิจิตภูมิธรรมอยู่ในความปกติธรรมชาติของ "ความไม่มีผู้ยึดถือ" แม้ในภูมิจิตภูมิธรรมนั้น มันไม่สามารถยึดถือภูมิธรรมนั้นเป็นของใครได้จริง ๆ เพราะมันเป็นเพียงความรู้ของธรรมชาติ
แม้ความรู้ที่เป็นนามธรรมนั้น แต่เมื่อแบกหาม กอดไว้กับตัว
มันจึงมีน้ำหนักทับถมจนจมมิด... ลืมหูลืมตาไม่ขึ้น
ยิ่งรู้ยิ่งอยาก... อยากรู้มากขึ้น กลัวโง่ กลัวไม่รู้
แต่ "รู้" ที่ปกติเหมือนไม่รู้อะไรเลย ฝาก "ความรู้" ที่เป็นธรรมชาติ ไว้กับธรรมชาติอย่างนั้นแหละ ถึงเวลาจะใช้ก็ค่อย "เบิก"
หรือ "ยืม" มา... มันยิ่งกว่าความเบาสบายเพราะไม่แบกหาม
แต่... เพราะมันเข้าใจแล้วว่า "ยึดถืออะไรไม่ได้"
จึงไม่ยึดถือความรู้นั้นมาเป็นเรา แถมไม่ได้ยึดถือว่ามีตัวเราผู้ไปเบิกความรู้นั้นมาใช้เสียด้วย... ทุกอย่างอยู่บนรากฐานของความไม่มีที่รองรับทุกสิ่ง
สุดท้ายเหลือแต่ "รู้"
แม้ "รู้" นั้นก็ไม่ใช่เรา
แล้วจะเหลืออะไร !!!
เห็นแล้วเจ้าค่ะ... ว่าแม้แต่ "รู้" ที่เคยคิดว่ารู้ เห็น เข้าใจ
"รู้" นั้นอยู่บนอัตตาของตัวเราอย่างแท้จริง
ยอมสละ สิ้นอาลัย ไร้เงื่อนไข ไร้กังวล
มันก็เป็นไปตามธรรมชาติเอง
ธรรมชาติรู้ที่สงบ สันติ ไร้คำบรรยาย
ประโยชน์ที่แท้คือ การทำประโยชน์จาก "สิ่งที่สมมุติว่ามี"
โดย "รู้แก่ใจ" ว่า... สิ่งนั้นเป็นเพียง "สื่อของพระธรรม"
เพื่อประโยชน์ในตัวของมันเองอย่างแท้จริง
หาใช่ "เพื่อ" สิ่งใดทั้งปวงเจ้าค่ะ
น้อมกราบแทบเท้าองค์หลวงตา ในความเมตตาสุดประมาณ
ที่ "ทำให้ดู - อยู่ให้เห็น - เป็นให้สัมผัส"
เป็นแบบอย่างของการทำประโยชน์อันบริสุทธิ์อย่างแท้จริงเจ้าค่ะ
กราบ กราบ กราบ
หลวงตา : สาธุ สาธุ สาธุ
โยม : ศิษย์น้อมนำ ที่สุดแห่งธรรมทั้งผอง
ที่พร่ำสอน เข้าสู่ใจ
ทั้งเมตตา และห่วงใย
ที่หลวงตามอบให้ ตลอดมา
ก้มกราบ อย่างหมดใจ
ไม่อาลัย ไม่ค้นหา
ทุกสิ่ง ล้วนอนัตตา
สิ้นผู้มา สิ้นผู้ไป
ปัจจุบัน ก็แค่รู้
เกิดดับอยู่ ทั้งนอกใน
ไม่ยึดถือ แม้แต่ใจ
รู้เห็นไป ไร้ตัวตน
กราบขอบพระคุณหลวงตาครับ
กราบ กราบ กราบ
หลวงตา : สาธุ สาธุ สาธุ
โยม : กราบ..
สาธุ สาธุ สาธุ..
ในบทสรุปขององค์หลวงตาค่ะ..
ตราบที่ยังมีผู้เดินทาง..
มีการกระเพื่อมอยู่.. มีการยึดอยู่.. เป็นอยู่ เข้าใจอยู่
ล้วนสังขารทั้งสิ้น....
ละเอียดจริง ๆๆ
โยม : ไม่มีตัวเรา มีแต่หน้าที่ ทางโลก และ หน้าที่ทางธรรม
สังขาร ตัวจิต ตัวใจ ร่างกาย ขันธ์ 5 เป็นเพียงทางผ่าน
ของหน้าที่ที่พึงกระทำเท่านั้นจริง ๆ ครับ
ไม่มี “เรา” ใจก็เป็นธรรม
ส่งต่อธรรมจากใจ สู่ ใจ
กราบ หลวงตาครับ
หลวงตา : สาธุ
โยม : กราบขอบพระคุณหลวงตาที่เมตตาค่ะ
หนูนึกว่าหนูไม่ดิ้นรนค้นหาแล้ว ไม่ค่อยทุกข์แล้ว
แท้จริงคือหนูไม่เห็นว่ายังดิ้นรนค้นหาอยู่ลึก ๆ ตลอดค่ะ
พอเห็นก็ทราบว่าที่หนูอาลัยที่สุดก็คือตัวเอง
มันเหมือนความทุกข์ที่ถูกเก็บกดไว้ มันทลายออกมา
ทุกข์ที่สุดก็คือการแบกตัวเองจะให้พ้นทุกข์
จึงยอมรับว่าตัวเองนี้แหละเป็นสังขาร ยึดถือมันไม่ได้
ก็เท่านี้ค่ะหลวงตา ไม่ทราบว่าจะปรุงแต่งอะไรต่อแล้วค่ะ
กราบ กราบ กราบ
โยม : หลังจากที่องค์หลวงตาเมตตาชี้ให้เห็น
ที่ผ่านมาลูกเอา "ตัวเอง" หนีทุกข์มาตลอด
หนีเข้าไปอยู่ในห้องที่เป็นเหมือนหลุมหลบภัย
เปรียบเหมือนจระเข้กบดานเงียบไม่ไหวติง
แต่สะสมทุกสิ่งไว้ภายใน
วันที่มันหลุดออกมาได้เมื่อไหร่มันพร้อมจะอาละวาด
พังทลายทุกสิ่งที่ขวางหน้าราบเป็นหน้ากลอง
แล้วมันก็เป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ
พอมันหลุดออกมาได้นี่มันถล่มเสียยับเยิน
คงถึงเวลาแล้วเจ้าค่ะ ถึงเวลาที่ต้องปล่อย
ให้มันเป็นอิสระเสียทีเจ้าค่ะ
ปล่อยให้จระเข้เขากลับคืน
สู่โลกของเขาตามธรรมชาติไม่ไปกักขังเขาไว้อีก
ปล่อยให้สายน้ำคงเป็นเช่นสายน้ำ
ที่รองรับได้แม้ของจะเน่าเสียปานใด
หรือ แม้แต่ใบไม้ดอกไม้อันบอบบาง
เจือด้วยกลิ่นหอมหวานที่ผ่านเข้ามา
ผืนดิน ผืนน้ำ จักรวาล จิตใจ
ล้วนเป็นไปตามวิถีแห่งเหตุปัจจัย
ไม่เคยมีสิ่งใดอ้างตน "ครอบครอง"
ขอคืนน้ำตาแห่งความหลงผิดนี้
กลับคืนให้แก่ธรรมชาติไปเจ้าค่ะ
ลูกขอใช้ศรีษะแทนมาลัย
ขอใช้น้ำตานี้ทดแทนน้ำสะอาดล้างเท้าทั้งสองขององค์หลวงตา
ด้วยสำนึกในพระคุณอันสูงสุดเจ้าค่ะ
กราบ กราบ กราบ เจ้าค่ะ
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
โอวาทธรรมจากปุจฉาวิสัชนา
4 กรกฎาคม 2562