โยม : กราบขอโอกาสรายงานอีกเรื่องเจ้าค่ะ เมื่อเช้าตอนใกล้รุ่ง เหมือนฝันไปว่า ไปดูลูกสาวคนเล็กทำกิจกรรมที่โรงเรียน มีผู้ปกครองยืนดูหน้าเวทีหลายคน และยืนเบียดเข้ามาใกล้ที่ยืนอยู่ ปรากฏว่าเค้ายืนเบียดทับซ้อนทะลุตัวเราบางส่วนเหมือนไม่เห็นว่ามีเรายืนอยู่
ตอนนั้นระลึกรู้ขึ้นมาว่านี่เป็นจิต เป็นกายโปร่งแสง เกิดความสงสัยขึ้นว่าเกิดอะไรขึ้น เราตายแล้วเหรอ ก็เลยหาทางกลับบ้านเพื่อจะไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น ระหว่างทางเจอรั้วสังกะสีเก่า ๆ ผุ ๆ สองข้างทาง ต้องเดินผ่านเข้าไปในทางนั้น ขณะที่เดินผ่านมันเหมือนมีแรงดึงดูดตัวเราเข้าไปหารั้วนั้น ขณะนั้นก็ออกแรงต้านเต็มกำลัง
แว๊บนึงมันมีสติสงบใจขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และภาวนาพุทโธ ๆ ๆ ๆ ตลอดเจ้าค่ะ ต่อมามีผู้หญิงชาวบ้านมานำทางออกจากตรงจุดนั้น เดินผ่านอาคารพาณิชย์หลาย ๆ ห้องติดกัน หน้าอาคารจะมีโคมไฟสีแดง ๆ ผู้หญิงคนนั้นก็บอกว่า แบบนี้น่ะมีเจ้าที่อยู่ หลังจากนั้นก็มายืนรอ ก็ไม่รู้ว่ารออะไรเจ้าค่ะ แล้วก็รู้สึกตัวตื่น
ก็ได้คิดว่า ในความเป็นจริงถ้าไม่รู้สึกตัวตื่น ก็คงได้ตายจริง ๆ แบบไม่รู้สึกตัวว่าตายเพราะอะไร คือหลับแล้วไม่ตื่นเลย และก็จะกลายไปเป็นวิญญาณที่ต้องไปเกิดตายอีก แต่ครั้งนี้มีโอกาสได้กลับมาเข้าร่างโดยความช่วยเหลือของใครบางคน รู้สึกว่าเหมือนได้ทดลองตาย และไม่ควรประมาทต่อความตาย
ก็เลยลุกขึ้นมานั่งสมาธิ ระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ คุณพ่อแม่ครูอาจารย์ คุณองค์หลวงตา และอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลที่ทำมาแล้วทุกภพทุกชาติจนถึงปัจจุบันนี้ ให้แก่คนที่ช่วยเหลือในฝัน อธิษฐานจิตเสร็จปรากฏว่าขนลุกเกรียวเลยเจ้าค่ะ
แล้วก็นั่งสมาธิต่อ ก็ระลึกรู้สิ่งที่หลวงตาสอนเรื่องเมตตา ว่าให้...เมตตาตน ไม่ดีรัก ชั่วชัง ไม่เกลียดทุกข์ รักสุข มีใจที่เป็นกลางต่อของคู่ทั้งปวง
กับ...อุเบกขา คือ ความสงบจากกิเลส และ ความปรุงแต่งทั้งปวงเจ้าค่ะ
กราบ กราบ กราบ แทบเท้าหลวงตาที่เมตตาสั่งสอนเจ้าค่ะ
เหมือนเป็นการให้ทดลองตายเลยเจ้าค่ะ
หลวงตา : เกือบตายแล้ว มั้ยยยยล่ะ !!
แสดงให้เห็นชัด ๆ ... ว่า ยังหลงยึดถือว่า มีตัวเรา หรือ เรามีตัวตนในขันธ์ห้า
เมื่อจะตาย จึงมีตัวตนของเรา (กายโปร่งแสง) ออกจากร่างให้เขาชักจูงนำพาไปรับกรรม ถ้าไม่มีผู้ช่วยเหลือให้กลับมา ก็ตาย!!
แต่ก็ตายแตกดับเฉพาะขันธ์ห้า ยังเหลือตัวตนของเราที่เป็นกายโปร่งแสงต้องไปรับกรรม เพราะความหลงยึดถือขันธ์ห้า คือ ร่างกาย และ จิตใจ ว่าเป็นตัวตน เป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นของเรา โดยไม่เห็นเป็นเพียงธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ และธาตุรู้ ตามธรรมชาติมาผสมปรุงแต่งเป็นขันธ์ห้าขี้นมา ด้วยอำนาจของอวิชชา ตัณหา อุปาทาน ซึ่งยังไม่ดับลง
เพราะมันมี “อวิชชา” คือความหลงยึดถือซ่อนอยู่ในใจหรือ จิตเดิมแท้ ซึ่งเป็นธาตุรู้
เมื่อเผลอหรือขาดสติ มันจะแสดงกิริยาจิตออกมา เป็นตัณหา อุปาทาน ทันที เช่น
มีเรา หรือ ตัวเรา ชอบใจ พึงพอใจ ติดใจยินดี ความเบาสบาย หรือ ความว่าง และ หงุดหงิด รำคาญทุกขเวทนา หรือ จิตที่ไม่ดี
หรือ แอบมีความหลงยึดถือ หรือ ปรารถนาความว่าง หรือ ยึดถือธรรม หรือ ยึดถือนิพพาน (ซึ่งมีความเข้าใจผิดว่าเป็นความรู้สึกว่าง)
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
โอวาทธรรมจากปุจฉาวิสัชนา
7 พฤษภาคม 2562