ใจที่เงียบสงบสงัดไปทั้งโลกธาตุนั่นแหละ ที่มันมี “ความรู้” ออกมาจากความเงียบความสงบสงัดนั้น รู้อะไรล่ะ?
ก็มีความรู้ว่า ... บัดนี้ ถึง “ใจ” ที่เงียบสงบสงัดไปทั้งโลกธาตุภายใน และ ภายนอก
ส่วนสังขารใด ๆ ในโลกที่อยู่นอกตัวเราทั้งหมด และ สังขารร่างกาย สังขารจิตใจ ซึ่งเป็นขันธ์ห้า เค้าก็ยังทำงานตามปกติ คือ ลมหายใจก็ยังเคลื่อนไหวซึ่งเป็นสังขารกาย เครื่องปรุงแต่งกาย ก็ยังเคลื่อนไหวตามปกติ
แต่แม้สังขารกาย ลมหายใจยังเคลื่อนไหว แต่เค้าก็ไม่ได้ทำลาย ความเงียบ ความสงบ ความสงัด ทั้งภายในและภายนอก ให้มันสูญหายไปได้
ขันธ์ห้าก็ยังมีความรู้ความเห็นความเข้าใจ คิดตรึกตรองได้ มีความรู้ ความเห็น ความเข้าใจได้ว่า อะไรเป็นอะไร แต่ความรู้ความเห็นความเข้าใจความคิดตรึกตรองอยู่นั้น
ไม่ได้ทำลาย... ความเงียบ... ความสงบ... ความสงัดไปถึงใจได้
ถ้าท่านเข้าใจตรงนี้ ท่านจะพบว่า ... ความเงียบความสงบความสงัดไปทั้งโลกธาตุ
มันมีของมันอยู่แล้วแต่เดิม ไม่ใช่เราไปหามัน หรือ เราทำมันขึ้นมาใหม่
แต่เพราะเรา “หลงปรุงแต่ง” มากเกินไป
เรา “ยึดถือ” มากเกินไป
เรา “อยากรู้อยากเห็น อยากได้อยากเป็น” มากเกินไป
เรา “อยากสงบมากเกินไป” เราอยากอย่างโน้น อยากอย่างนี้
เราวุ่นวายกับโลกมากเกินไป
วุ่นวายกับคนอื่นมากเกินไป
วุ่นวายกับครอบครัวมากเกินไป
วุ่นวายกับร่างกาย วุ่นวายกับ "อาการของใจ" มากเกินไป
วุ่นวายกับอยากรู้อยากเห็น อยากได้อยากเป็น
อยากบรรลุพระนิพพานมากเกินไป
มันเลยมาปิดบัง มาบังธรรมชาติที่บริสุทธิ์เสียหมดเลย! คือ “ธาตุรู้” ที่มันไม่เคลื่อนไหว ไม่ปรากฏอาการใด ๆ มีแต่ความเงียบ ความสงบความสงัด ไปทั้งโลกธาตุ
ทั้งภายในและภายนอก ซึ่งมี “ความรู้” ออกมาจากความเงียบความสงบนั้น
รู้อะไรล่ะ? ก็รู้ทุกอย่างแต่ไม่ยึดถือแม้แต่อย่างเดียว ไม่ยึดถือแม้แต่ความเงียบนั้น
และก็ไม่ยึดถือทั้งสิ่งที่ปรุงแต่ง ไม่ยึดถือทั้งสังขารใด ๆ ภายนอก ได้แต่รับรู้ สิ่งใดภายนอก รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ครอบครัว สมบัติพัสถานบ้านช่อง รู้อยู่ ... เห็นอยู่ ... ทำหน้าที่อยู่ แต่ “ความรู้” ออกมาจากใจที่เงียบสงบสงัดไปทั้งโลกธาตุนั้นน่ะ ไม่ได้ติดไม่ได้ยึดเลย
สิ่งนั้นมีอยู่ แต่มันไม่ได้เข้ามาอยู่ในใจให้เป็นทุกข์เดือดร้อนเลย ร่างกายรูปขันธ์มีอยู่
เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จิตที่ปรุงแต่งมีอยู่ แต่ไม่ได้มาทำให้ใจเป็นทุกข์เดือดร้อนเลย
เค้าได้แต่ ... รู้ “ใจ” เค้าได้แต่รู้ แต่ไม่ติดไม่ยึดอะไรแม้แต่อย่างเดียว และไม่ติดไม่ยึด แม้แต่ความเงียบความสงบนั้น
ได้แต่รู้ถึงความเงียบความสงบความสงัด ความว่างเปล่าที่ไม่มีตัวตน ที่เรียกว่า “วิสังขาร” หรือ “อสังขตธาตุ” “อสังขตธรรม” หรือ “นิพพานธาตุ” “มหาสุญญตาธาตุ”
“รู้” ที่เป็นความว่างเปล่าทั้งจักรวาล โลกธาตุ หรือ “ธรรมธาตุ” เขาก็ได้แต่รู้ตัวเขา รู้ ...ธาตุรู้นั้นเอง รู้ใจที่เงียบสงบนั้นเอง ... ที่ไม่ปรุงแต่งนั้นเอง แล้วก็รู้สังขารใด ๆ ในโลกนี้ทั้งหมด
สังขารร่างกายสังขารจิตใจ ที่เป็น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็เป็นสังขารที่ไม่เที่ยง เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา และ สังขารในโลกใด ๆ ทั้งหมดก็เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
สรุปแล้วความรู้ที่ออกมาจากใจที่เงียบสงบสงัดนั้น
รู้ทั้งตัวมันเอง ... แล้วก็รู้ทั้งสังขารใด ๆ ในโลก
รู้ทั้งขันธ์ห้า ทั้งรูปทั้งนาม แต่ไม่ติดไม่ยึดอะไรเลย
เพราะเห็นว่า ...
“สัพเพ สังขารา อนิจจา”
“สังขาร” คือ ร่างกายจิตใจ หรือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นของไม่เที่ยง เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป มีแล้วหายไปหมดสิ้น
“สัพเพ สังขารา ทุกขา”
“สังขาร” คือ ร่างกายจิตใจ หรือ รูป เวทนา สัญญา สังขารวิญญาณ มันเป็นทุกข์ทนยาก ต้องแก่ต้องเจ็บต้องตายด้วยความทุกข์ทรมาน
“สัพเพ ธัมมา อนัตตา”
“ธรรม” ทั้งหมดทั้งที่เป็น “สังขาร” ที่กล่าวมาแล้วและ “วิสังขาร” คือ “ใจ” หรือ “ธาตุรู้” นั้น ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา อย่าไปหลงยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวเป็นตน เป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นตัวตนของเรา
หรือ
“สัพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ”
“ธรรม” ทั้งหมดไม่ควรยึดมั่นถือมั่น
"The Sound of Silence" ... ความเงียบความสงบความสงัดถึงใจ
เมื่อท่านได้เคยพบมันแล้ว “ใจ” ที่เงียบที่สงบสงัดไปทั้งโลกธาตุ ต่อไปมันจะเหมือนกับมะเร็งร้าย ที่ลุกลามเร็วมากในใจเรา มันจะดับความทุกข์ความเดือดร้อน
มันจะกินความทุกข์ความเดือดร้อน กลืนกิน ไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ ไฟแห่งความลุ่มหลง แห่งความยึดถือ ใด ๆ จนหมดสิ้น
รอจนกว่าสิ้นอายุขัย ขันธ์ห้าร่างกาย ซึ่งเป็น รูป เวทนา สัญญาสังขาร วิญญาณ ก็ดับ ลงเหลือแต่จิตแท้ ๆ หรือใจแท้ ๆ หรือธาตุรู้แท้ ๆ ซึ่งเป็นความรู้ที่บริสุทธิ์
คือ ได้แต่ “รู้” ไม่ติดไม่ยึดอะไรเลย ไม่มีตัวตน ไม่ติดไม่ยึดแม้แต่ตัวมันเอง มันได้แต่รู้อย่างเดียว นี่แหละเป็นธาตุที่เป็นอมตะ เป็น “นิพพานังปรมังสุญญัง นิพพานังปรมังสุขัง” อย่างเป็นอมตะชั่วนิรันดร์ ไม่ต้องไปเกิดตายให้เป็นทุกข์ในภพชาติใดอีกต่อไป อย่างเป็นอมตะ
ธาตุรู้นี่แหละ หรือ จิตแท้ ๆ หรือใจแท้ ๆ ซึ่งเป็นความรู้ที่บริสุทธิ์ คือ รู้ที่ไม่ติดไม่ยึดอะไรนี่แหละ เค้าเรียกว่า “พุทธะ”
พุทธะ ไม่ได้หมายถึง ร่างกายของพระพุทธเจ้า แต่ “พุทธะ” หมายถึง ความรู้แจ้งแล้วในสัจธรรมความจริงว่า ...
“สัพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ”
ธรรมทั้งหมดทั้งที่เป็นสังขาร และ วิสังขาร ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ไม่อาจยึดมั่นถือมั่่นได้
“รู้จริง” รู้จริงในสัจธรรมความจริงจนถึงใจ
“รู้แจ้ง” รู้แจ้งจนถึงใจในสัจธรรมความจริง
รู้สิ้นยึด รู้สิ้นหลง รู้พ้น รู้ตื่น รู้เบิกบาน
เป็น “รู้” ที่เป็น “พุทธะ” นี้อย่างเป็นอมตะ
..........................................
The Sound of Silence
- Where there is a true silence, there is a true knowing. It is the knowing of silence from inside and outside of your heart.
- Even though, our body, our mind and other matter around us are still working and functioning as normal. They cannot stop or make the true silence both from inside and outside of your heart disappear.
For instance, our body still able to think and to understand things around us but those thinking and understanding will not make the true silence disappear.
The true silence is still there and stay together with our body.
- Those who understand this concept will find out that the true silence was there since the beginning. We do not have to create or to find the true silence.
- But because we manipulate our thoughts, attach to everything, craving to be something, want the peace, busy with the world (friends, family, our body, our mind) and want the Nirvana too much.
We, then, cannot see the true nature of “Knowing” inside of our heart.
- The true knowing does not move or have any action. It is the sound of silence both inside and outside of your heart which have the knowledge out of those silences.
- What kind of knowledge? It is the knowing of everything from your mind but no one attaches to any of that knowing (eg. Thoughts, body movements, sound, smell, taste, feelings, family and money etc.). Even the knowing of silence, there is no person attach to it.
- You will know that “the true knowing” are doing their jobs. It will naturally come out from the silence of your heart without any action.
- All things that happen in your life are there but nothing is left is your heart to make you feel suffer.
- The true knowing from your heart but no one attaches to it called NIRVANA.
- Our body is uncertain. Everything in this world is uncertain. It causes suffering. Therefore, we should not attach anything to be ours. Even the true knowing or the Dhrama.
- Once you can see the true knowing and the sound of silence, it will act like cancers and spread through your heart and soul immediately. It will automatically reduce your suffering from your heart. It will also help reduce your anger, sensual lust, hatred and delusion.
- After you die, there will be the true knowing left which is only the “knowledge” but no one attaches to. This Nirvana is immortal. There is no next life, you will not reborn and die again and again.
- Another word of the true knowing is called Buddha which means enlightened to the absolute truth of nature. You will really understand the reality of life, that is uncertain and no one attaches to.
(English Translation from Original Source: Audio Transcript No. 190323B-6)
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
โอวาทธรรมจากไฟล์เสียง
190323B-6 รู้จากใจ
ฟังจากยูทูป :
https://www.youtube.com/watch?v=-Baz0g1IJ_k
ฟังจากระบบซาวด์คลาวด์ :
https://soundcloud.com/luangtanarongsak/190323b-6