กิเลสกับสติปัญญา หรือ กิเลสกับจิต มันจะทันกัน องค์หลวงตามหาบัวท่านใช้คำพูดเหมือนกับว่า...
กิเลสกับจิตมันเหมือนกับตีข้าศึก มันตะล่อมเข้าไป... ตะล่อมเข้าไป... ตะล่อมเข้าไป ถ้าสติปัญญาแก่กล้า จิตก็คือสติปัญญามันแก่กล้า มันก็ตีกิเลส ถ้ากิเลสมันแก่กล้า มันก็ตีสติปัญญากระเจิงไปเหมือนกัน...
จิตที่มีสติปัญญา ได้แต่ว่า “แค่รู้” หรือไม่มีกิเลสตัณหาปนอยู่ในรู้ ถ้าเรารู้ทันปุ๊บ มันก็ตีกิเลสกระเจิง ก็เลยแต่ “แค่รู้... สักแต่ว่ารู้”
แต่พอกิเลสมันมีอำนาจเหนือกว่า มันก็ครอบงำรู้หมดเลย กลายเป็น “รู้หลง” รู้ที่มีกิเลสตัณหาปนหมดเลยทุกอย่างในรู้
ถ้ามีสติปัญญาแก่กล้า มันก็รู้ว่า... “รู้” นี้ไม่มีกิเลสตัณหาปน มันก็ตีกระเจิงไปเรื่อย ๆ กิเลสตัณหามันก็ค่อย ๆ อ่อนแรง ๆ เรื่อย ๆ มันก็เหลือ “รู้สักแต่ว่ารู้” ไม่มีกิเลสตัณหาปนอยู่ในรู้ จนกระทั่งที่สุดแล้ว จนถึงรู้ธรรมชัดเจนแจ่มแจ้งจนถึงที่สุดคือพระนิพพาน ก็ไม่มีกิเลสตัณหาปนอยู่ในรู้นั้น... ก็พ้นทุกข์ไป
คือกิเลสกับข้าศึกและสติปัญญา ตีกันเหมือนกับว่าเข้าไปจนถึงตีเมืองแตก แล้วก็หนีร่นเข้าไปถึงกลางเมือง ก็บุกลุยตีเข้าไปจนถึงกลางเมือง แล้วก็สุดท้าย... กิเลสตัณหาที่มันแอบเป็น “อวิชชาซ่อนเร้นอยู่ในผู้รู้” ก็หมดสิ้นไป เหลือแต่ความรู้โดยความบริสุทธิ์ คือไม่มีกิเลสตัณหาปนอยู่ในความรู้
จนถึง... รู้อะไรก็ไม่มีกิเลสตัณหาปนอยู่ใน “รู้” ธรรมนั้นละเอียดสูงสุดขึ้นไปเท่าไรก็ไม่มีกิเลสตัณหาปนอยู่ใน “รู้” ขึ้นไปจนถึงที่สุดแห่งพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ ก็ไม่มีกิเลสตัณหาปนอยู่ในความรู้นั้นเลยตลอดสาย อ่านขาดหมดเลย สติปัญญาแก่กล้าตีขาดหมด แล้วก็ไม่มีกิเลสกับสติปัญญาด้วย
อย่าว่าแต่ไม่มีกิเลสตัณหาต่อสิ่งที่ถูกรู้นะ ไม่มีกิเลสกับสติปัญญาว่า... โอ้โห สติปัญญาของเราแก่กล้ามาก... เลยกลายเป็นมีกิเลสตัณหาต่อสติปัญญา เป็นความรู้ที่ไม่บริสุทธิ์ พอสติปัญญาของเราแก่กล้ามากเลย... ฮึกเหิม ทีนี้เลยกลายเป็นสังโยชน์สามตัวสุดท้ายเลย คือ ทิฏฐิมานะ ฟุ้งซ่าน หงุดหงิด... หงุดหงิดโน่น หงุดหงิดนี่ ใครมาโต้ตอบไม่ตรงกับใจ หงุดหงิดไปหมด... อวิชชาเลยทีนี้ หนักเลย มีตัวเราเข้าไปยึดในความรู้ความเห็นนั้น แทนที่จะไม่ยึดอะไร แต่กลับยึดในความรู้ความเห็นนั้น
ที่พระพุทธเจ้าตรัสกับพาหิยะว่า... ถ้าเธอรู้สักแต่ว่ารู้ เห็นสักแต่ว่าเห็น ได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน สุดท้ายก็รู้แจ้ง สักแต่ว่ารู้แจ้ง ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขาปนอยู่ในรู้นั้นเลย เหลือแต่ “แค่รู้” ไม่มีอวิชชา ไม่มีเรา ไม่มีเขาปนอยู่ในนั้น เลยได้แค่รู้ เป็นความรู้ที่บริสุทธิ์ ไม่มีกิเลส อวิชชา ตัณหา อุปาทานปนอยู่ในรู้ รู้สักแต่ว่ารู้ ไม่มีใครยึดสติปัญญานั้น
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
โอวาทธรรมจากไฟล์เสียง
180907B-9 แค่รู้แค่เห็นแต่ไม่ไปเป็น
7 กันยายน 2561
ฟังจากยูทูป :
https://youtu.be/drqJh1j2vds