ผู้ถาม : กราบนมัสการองค์หลวงตาเจ้าค่ะ
หนูมีความรู้สึกดีใจอย่างมากที่หลวงตากลับมามีธาตุขันธ์แข็งแรงเหมือนเดิม เนื่องจากหนูอยู่ต่างประเทศ ตอนที่หลวงตาอาพาธหนูไม่ทราบอะไรเลย แต่รู้ว่าหลวงตาน่าจะมีปัญหาทางด้านสุขภาพ เพราะทีมงานไม่ได้ upload ไฟล์เสียงของหลวงตาเป็นระยะเวลานานมาก ซึ่งปกติจะ upload แทบทุกวัน หนูเขียน line ไปถามญาติธรรมที่เมืองไทยที่ไปกราบหลวงตาอยู่เป็นประจำ เค้าก็ไม่ทราบ ทราบแต่ว่าปัญจคีรีปิดเดือนพค. หนูไม่ได้เขียนไปถามทีมงานของหลวงตาเพราะคิดว่า ถ้าทุกคนเขียนไปถามก็จะไปเป็นภาระให้กับทีมงาน สิ่งที่หนูทำได้ตอนนั้นก็คือ จำได้ว่าหลวงตาเคยบอกว่าถ้าคิดถึงหลวงตาก็ให้ทำความเพียรเข้านะ หนูก็เลยทำความเพียรโดยการพิจารณาความจริงของสังขารกาย (เป็นธาตุ 4 เป็นโครงกระดูก อวัยวะต่าง ๆ มาประกอบกัน) และสังขารใจของตนเองและผู้อื่น ดูมันเกิดขึ้นดับไป ผ่านไปผ่านไป ตัวผู้รู้ ผู้พิจารณา หรือตัวสติ ก็เกิดดับเป็นสังขาร สุดท้ายไม่เหลืออะไรเลย นอกจากทำความเพียรอย่างต่อเนื่องแล้ว หนูก็ฟังไฟล์เสียงของหลวงตาอยู่เกือบจะตลอดเวลา ตั้งแต่เช้ายันเย็น ทำอะไรอยู่ก็ฟังไฟล์เสียงไปด้วย บางไฟล์น่าจะฟังไปแล้วเป็น 10 ครั้ง
หนูทำความเพียรอย่างสม่ำเสมอเกือบจะตลอดเวลา หลงไปก็เริ่มต้นใหม่ โดยที่ก็เห็นว่าตัวที่ไปรู้ว่าหลง ตัวสติ ก็เป็นสังขาร สุดท้ายแล้วไม่เหลืออะไรเลย ในโลกนี้สิ่งที่ขยับได้เป็นสังขารหมด เห็นมันเป็นธรรมชาติที่เคลื่อนไปตามเหตุปัจจัย หนูรู้สึกสำนึกในบุญคุณของพระพุทธเจ้า ของหลวงตาที่มีความเมตตาต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย และช่วยสั่งสอนอบรมเพื่อให้ลูกศิษย์ทุกคนเห็นสัจธรรมอันนี้ ช่วงเวลาที่ไม่หลง เวลาที่เห็นทุกอย่างเป็นสังขาร มันไม่เหลืออะไรเลยจริง ๆ เหมือนพื้นว่าง ๆ เหมือนตัดขาดจากสังขาร เห็นสังขารดำเนินไปแต่ใจสงบ ความจริงมีแต่ในปัจจุบันขณะ สิ่งที่ผ่านไปแล้วมันอยู่แค่ในสัญญา สิ่งที่ยังไม่เกิดมันคือความปรุงแต่งตามเหตุปัจจัย เป็นแค่พลังงานที่ถูกปรุงแต่งขึ้นมา เมื่อเห็นอย่างนี้แล้วทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นตัวเรา คนในครอบครัว หรือใครก็ตาม มีค่าเท่ากันหมด มันคือธรรมชาติ เป็นสมมติเท่านั้นที่อยู่ในสัญญาและความปรุงแต่งที่ไปให้ค่า
แต่หนูก็รู้ว่าตัวเองยังยึดอยู่เยอะ ในชีวิตประจำวันพอจิตของตัวเองกระเพื่อม มันก็รู้แล้วว่ายังยึดอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งยึดตนเอง เห็นแล้วก็พิจารณาสัจธรรมความจริงเลย ความรู้สึกกระเพื่อมก็ลดลงหรือหายไป สักพักมันก็กระเพื่อมอีก หนูก็พิจารณาสัจธรรมความจริงอีก เป็นอยู่อย่างนี้ แต่ทั้งหลายทั้งปวงนี้ก็เป็นสังขารทั้งหมด แต่หนูคิดว่าเป็นสังขารที่อยู่บนทางเดินเพื่อให้สิ้นยึด
เมื่อวานนี้หนูมีประสบการณ์ที่สามารถเล่าให้เห็นได้ชัด ๆ คือ สามีของหนูเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง รอบที่ 2 โปรแกรมการรักษา 1 ปี ระหว่างหนึ่งปีนี้มีการ scan เพื่อตรวจสอบผลการรักษา 4 ครั้ง ผลการ scan ครั้งแรกเซลมะเร็งหายไปส่วนหนึ่ง และส่วนที่เหลือก็ลดขนาดลงเยอะมาก แต่ผลการ scan ครั้งที่ 2&3 เซลมะเร็งไม่เปลี่ยนแปลง เมื่อวานนี้เป็นการ scan ครั้งที่ 4 สามีของหนูเค้าไปโรงพยาบาลคนเดียว หนูต้องอยู่บ้านดูแลรับส่งลูก ๆ หนูรู้ว่าผลการ scan จะออกมาตอนบ่าย ตอนเช้าหนูก็ไม่ได้คิดอะไรเพราะใจอยู่กับสิ่งที่ทำ รวมทั้งพิจารณาความจริงไปด้วย แต่ตอนบ่ายเอาแล้ว จิตกระเพื่อม กังวลถึงผล scan พอเห็นใจที่กระเพื่อม หนูก็พิจารณาความจริง ทุกอย่างเกิดจากเหตุปัจจัย กรรมของแต่ละคน กรรมร่วม เป็นยังไงก็ยังงั้น ทุกคนก็ต้องปรับตัวไปตามสิ่งที่เกิด แล้วทุกอย่างก็จะผ่านไป เป็นปรากฎการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นท่ามกลางปรากฎการณ์มากมายที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ตัวที่ไปกังวล ตัวที่พิจารณาความจริงอยู่นี้ก็เป็นสังขารเกิดขึ้นตามเหตุปัจจัยเหมือนกัน สุดท้ายไม่เหลืออะไร ใจก็สงบ แล้วอีกแป๊ปมันก็กระเพื่อมอีกแล้วเจ้าค่ะ หนูก็พิจารณาความจริงไปอีก จนกระทั่งหนูทราบผล scan ว่าเซลมะเร็งลดลงจากเดิมนิดหนึ่ง แล้วหมอจะปรึกษากับทีมหมออีกทีในสัปดาห์หน้าว่าขั้นต่อไปจะรักษาอย่างไร ซึ่งก็เป็นข่าวค่อนข้างดี หนูก็เห็นจิตกระเพื่อมไปอีกด้านหนึ่งคือ ดีใจที่ผลการรักษาไม่แย่ลงไป แต่ดีขึ้นนิดหนึ่ง หนูก็พิจารณาความจริงอีก ทุกอย่างเป็นสังขารผ่านมาแล้วผ่านไป แต่คราวนี้มันยากกว่าเพราะมันคือความไม่ทุกข์ หนูก็รู้ว่าหนูต้องทำความเพียรต่อไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งไม่มีผู้เข้าไปรองรับหรือยึดถือเวทนาทางใจเจ้าค่ะ
การทำความเพียรของหนุผิดถูกอย่างไร หนูขอความเมตตาจากหลวงตาช่วยชี้แนะ แนะนำ สั่งสอนด้วยเจ้าค่ะ หนูกราบขอบพระคุณองค์หลวงตาเป็นอย่างสูงเจ้าค่ะ สุดท้ายนี้หนูขอถวายการทำความเพียรของหนูเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา และขอให้ธาตุขันธ์ของหลวงตาแข็งแรงไปอีกนาน ๆ เพื่อเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้กับลูกศิษย์ทุกคนเจ้าค่ะ
หลวงตา : การเพ่งพิจารณาอาการของจิตใจที่กระเพื่อม เพราะกังวลกับผลการตรวจของสามี เนื่องมาจากยึดและเป็นห่วงสามี แต่พยายามเพ่งอาการไม่ให้กระเพื่อม ไม่ให้มีความทุกข์ ไม่ให้มีความกังวลนั้น เป็นการหลงยึดถือว่า เป็นตัวตน เป็นตัวเรา และ เป็นสามีของเรา ไม่ใช่เป็นเพียงในนามสมมติ แต่ยึดมั่นเป็นตัวเป็นตนจริงๆ
ทั้งยังมีความเห็นผิด (มิจฉาทิฏฐิ) ว่าถ้าปฏิบัติได้ตามคำสอน จะไม่มีอาการกระเพื่อม หวั่นไหว มีแต่ความราบเรียบอย่างเดียว ก็จะยิ่งกดข่มบังคับอาการ หรือ หนีความจริง
ความจริงย่อมเป็นความจริง สามีป่วยเป็นมะเร็ง ใจก็ต้องยอมรับตามความเป็นจริง ผลการตรวจออกมาอย่าง ก็ต้องเป็นความจริงอย่างนั้น แม้เราจะเอาใจช่วยด้วยความรักใคร่ห่วงใยผูกพัน ก็จะไม่ทำให้ผลการตรวจเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่น ส่วนการรักษา ถ้าหายหรือบรรเทาไปได้ หรือ ไม่หาย ก็ต้องเป็นไปตามนั้น ไม่ได้เป็นไปตามความห่วงใยที่ฝืนความจริง
ความจริงในชีวิตทุกปัจจุบันขณะ เป็นจริงอย่างไร ถ้าใจเห็นสัจธรรม ว่า ทุกชีวิตย่อมเคลื่อนไปสู่ความแก่ ความเจ็บ ความตายเป็นธรรมดา ไม่มีผู้ใดอาจต้านทานได้ ไม่มีอะไรเป็นของ ๆ ตนที่แท้จริง จำต้องละทิ้งทุกสิ่งไป แม้แต่ร่างกายและจิตใจของตน ใจก็จะปล่อยวางความหลงยึดมั่นที่ผิด ๆ จากสัจธรรม ค่อย ๆ ยอมรับตามความเป็นจริง (ยถาภูตญาณทัสสนะ) เกิดนิพพิทาญาณ วิราคะธรรม วิมุตติ นิพพาน
ผู้ถาม : สาธุเจ้าค่ะ ขอกราบขอบพระคุณในความเมตตาขององค์หลวงตาเป็นอย่างสูง
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นไม่ว่าดีชั่วย่อมต้องดับไป เวลาของทุกชีวิตก็เหลือน้อยลงไปเรื่อย ๆ หนูจะน้อมนำคำสอนขององค์หลวงตาไปทำความเพียรต่อไปเจ้าค่ะ
ปุจฉาวิสัชชนาธรรมเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2566